บทความส่วนใหญ่ เป็นนิยาย เรื่องสั้น เรื่องเล่า มีทั้งอ้างอิงจากเค้าโครงเรื่องจริง และเรื่องแต่งขึ้นเอง

Tadeestory/ล็อคเกอร์มือสอง ตอน6(ตอนจบ)



พี่พลอยมองหน้าฉันนิ่งๆไม่แสดงอาการอะไร
“ฝนกำลังคิดอะไร”พี่พลอยถามฉัน
“ไม่รู้สิคะกลิ่นเหม็นๆนั่นก็มาจากล็อคเกอร์ป้าบัว แล้วแกก็ออกมาจากล็อคเกอร์ตั้งนานแล้ว แต่กลับเพิ่งออกจากจากห้องน้ำ แถมพี่ยังเจอผีหลังจากที่แกใช้ห้องน้ำเสร็จอีก อาจจะมีวิญญาณตามแกอยู่ก็ได้”ฉันแสดงความคิดเห็น
“มันก็น่าคิดแหละ แต่ผีที่ไหนจะมาตามป้าบัว แถมสภาพยังน่ากลัวขนาดนั้น เราลองถามพี่ปูเป้ดูมั้ยเผื่อมีใครเจอแบบเรา อาจจะเคยมีใครตายที่นี่ก็ได้”
พี่พลอยเสนอ ซึ่งฉันก็เห็นด้วย เราออกจากห้องน้ำตรงไปที่ออฟฟิศ พยายามทำตัวให้เป็นปกติ วันนี้พี่ปูเป้พาฉันไปเช็คงานที่ห้องเทส พี่เอ็มขอพาพี่พลอยตามไปดูด้วย ฉันเลยถือโอกาสที่อยู่กันตามลำพังสอบถามพี่ปูเป้เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น พี่ปูเป้เล่าให้ฟังว่า ถ้าจะมีผีตามป้าบัวก็คงจะไม่แปลก เพราะป้าบัวก็เพิ่งเสียลูกชายที่พิการทางสมองไป จากเหตุไฟไหม้ วันนั้นฝนตกหนัก แล้วไฟที่บ้านดับลูกชายแกน่าจะจุดเทียนหรืออะไรสักอย่าง มันคงจะลามแล้วดับไม่เป็น จะหนีก็ไม่ได้เพราะป้าแกจะล็อคกุญแจบ้านเอาไว้ กันลูกชายเดินไปข้างนอก  ซึ่งปกติแล้วป้าบัวแกจะกลับ 5 โมงตลอด แต่พอพี่นก Supervisor คนเก่าเข้ามาแกก็ตั้งแง่กับป้าบัวตลอด ห้ามเลิก 5 โมงต้องทำโอสารพัด จะหาเรื่องแกล้ง แต่ตอนนี้พี่นกแกออกไปแล้ว ตั้งแต่ที่ลูกชายป้าแกเสีย พี่นกก็มาทำงานสาม สี่วันก็หายไปดื้อๆ แกก็คงรู้สึกผิดแหละ
“แล้ว สามีของป้าบัวละคะ”
พี่พลอยถามด้วยความสงสัย
“อุ้ยอันนี้อย่าไปถามแกเชียวนะ ไม่มีใครรู้หรือเคยเห็นสามีแกหรอก พี่เองก็เข้าไม่ทันตอนแกท้อง เห็นคนเก่าๆบอกว่าแกท้องไม่มีพ่อ เพราะแฟนยังไม่มีเลย ไม่รู้ท้องได้ไง”
“แต่ว่าพี่ที่พลอยเห็น แล้วก็ที่ฝนฝันถึงเป็นผู้หญิงนะคะ”
“ใช่ๆแถมแผลก็ไม่เหมือนโดนไฟไหม้ด้วย”พี่พลอยเสริม ทำให้เราทั้งสามงงกันนิดหน่อย ส่วนพี่เอ็มนั่งฟังอย่างเงียบๆ ไม่แสดงความคิดเห็นอะไร
พอพักเที่ยงฉันกับพี่พลอยเลยตกลงกันว่าวันพรุ่งนี้จะมาทำงานแต่เช้า เพื่อมาแอบดูว่าในล็อคเกอร์ของป้าบัวนั้นมีอะไรซ่อนอยู่

              การทำงานในวันนี้ฉันเรียนรู้อะไรได้ไม่ค่อยมาก เป็นเพราะมัวแต่สงสัยและพยายามจับผิดป้าบัวอยู่ เย็นวันนั้นฉันเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมพี่พลอย กลิ่นเหม็นๆยังคงคละคลุ้งอยู่ ฉันกับพี่พลอยเปลี่ยนแผนกันนิดหน่อยคือจะรอให้ป้าแกลงมาแล้วแอบดูจังหวะนั้นเลย แต่รอจนเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วป้าบัวยังไม่ลงมา เราทั้งคู่เลยตัดสินใจกลับบ้านพรุ่งนี้ค่อยมาตั้งหลักใหม่

      พอกลับถึงบ้านแม่รีบเข้ามาคุยด้วย แม่เล่าให้ฟังว่าวันนี้ตอนกลางวันหลังจากรับจ๊อบทำข้าวกล่องเสร็จ แม่รู้สึกเพลียจึงนอนพักระหว่างนั้นแม่ฝันว่า ที่งานปาร์ตี้เมื่อคืนมีผู้หญิงคนนึง ลักษณะตรงตามที่เราบอก คือคล้ายศพที่ถูกฆ่าแล้วแล่เนื้อออกเป็นชิ้นๆ ผู้หญิงคนนั้นเดินตามป้าบัวเข้ามาในบ้านเรา ตอนที่ป้าบัวไปเข้าห้องน้ำ แต่ขากลับป้าบัวกลับออกไปคนเดียว แม่เลยตั้งข้อสังเกตว่าผีคนนั้นอาจจะตามป้าบัวมาที่บ้านของฉัน ฉันเลยตัดสินใจเล่าเรื่องแปลกที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง รวมถึงแผนการไขข้อข้องใจในวันพรุ่งนี้ด้วย แต่แม่กลับไม่เห็นด้วยกลัวว่าเราจะเป็นอันตราย คืนนั้นฉันขอไปนอนกับแม่ เพราะยิ่งรู้ว่าตอนนี้วิญญาณผู้หญิงคนนั้นอาจจะยังอยู่ที่บ้านของฉัน ฉันก็ยิ่งกลัว

            วันรุ่งขึ้นฉันออกจากบ้านไปทำงานเช้ากว่าทุกๆวัน ตั้งใจจะไปถึงบริษัทก่อน 6 โมงเช้าซึ่งเป็นเวลาที่ฉันกับพี่พลอยนัดกันเอาไว้ ฉันมาถึงหน้าห้องล็อคเกอร์ในเวลา 6 โมง 5นาที ไฟในห้องเปิดอยู่ พี่พลอยคงเข้าไปแล้ว ฉันค่อยๆถอดรองเท้าเซฟตี้วางไว้ที่หน้าประตู แล้วเปิดประตูให้เบาที่สุด เอาแค่มีช่องว่างแทรกตัวเข้าไปได้ ฉันเดินย่องๆเข้าไป
“กุกกักๆ”เสียงกุกกักๆ ดังมาจากหลังห้อง ฉันสอดสายตามองล็อคเกอร์แต่ละแถวแต่ไม่เจอพี่พลอยเลย จนกระทั่งฉันเดินมาถึงล็อคเกอร์แถวรองสุดท้าย ฉันเดินเข้าไปในแถวรองสุดท้ายริมด้านในสุดแล้วชะโงกหน้าแอบดู ภาพที่เห็นคือป้าบัวสวมผ้าปิดจมูก สวมถุงมือทั้งสองข้าง ที่พื้นข้างๆขาของป้าบัว เป็นขวดน้ำเปล่า แต่น้ำข้างในไม่น่าใช่น้ำเปล่า ป้าบัวใช้สลิงค์ดูดน้ำยาในขวด แล้วเอาเข็มสวมที่ปลายสลิงค์ ก่อนจะเอาเข้าไปฉีดอะไรสักอย่างที่อยู่ในล็อคเกอร์ของแก ฉันมองไม่ถนัด ฉันรู้แต่ว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องผีธรรมดาๆแล้ว ป้าบัวกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ เรื่องนี้คงอันตรายเกินไปสำหรับฉัน ฉันควรออกจากตรงนี้ได้แล้ว ฉันค่อยๆกลับหลังหันเพราะไม่อยากให้เกิดเสียง
“ผว๊ะ ตุ๊บ” ฉันชนเข้ากับพี่พลอยที่ย่องเข้ามาเงียบๆอย่างจัง จนทำให้ของพี่พลอยหล่นลงพื้นกระจุยกระจาย
“ปัง” เสียงประตูล็อคเกอร์ถูกปิดเจ้าอย่างแรงดังสนั่น
ป้าบัวโผล่ออกมาจากล็อคเกอร์แถวสุดท้าย
“มาทำอะไรกัน”แกถามด้วยเสียงดุดัน
พี่พลอยที่คงจะไม่ทันเห็นเหตุการณ์ มองไปที่ถุงมือและเข็มฉีดยาที่มือของป้าบัว พร้อมทำหน้างง
“สาระแนไม่เข้าเรื่อง” ป้าบัวเดินตรงมาที่ฉันกับพี่พลอย พร้อมยกเข็มฉีดยาขึ้น
“เฮ้ยป้าจะทำไรอ่ะ” ฉันถามขึ้น พร้อมกลับเก็บรองเท้าเซฟตี้ในของพี่พลอยขึ้นมา ป้าบัวไม่ตอบเดินตรงมาหาเรากับพี่พลอยเรื่อยๆ เรากับพี่พลอยตัดสินใจ หันหลังวิ่งหนี แต่ป้าบัวดึงผมเราไว้ แล้วแทงเข็มในมือเข้าที่แขนเรา
“โอ๊ย”เราร้องด้วยความเจ็บปวด พี่พลอยดึงรองเท้าจากมือเราฟาดไปที่มือป้าบัวไม่ยั้ง จนทั้งมือและเข็มหลุดออกจากแขนเรา พี่พลอยยังโยนรองเท้าเข้าที่หน้าป้าบัวอย่างจัง ทำเอาป้าบัวล้มกลิ้ง เราจึงหนีออกมาได้ พอออกจากห้องล็อคเกอร์ได้พี่พลอยกับเรารีบปิดประตู พร้อมดึงลูกบิดเอาไว้
“ปัง ปัง ปัง”เสียงเคาะจากด้านในดังสนั่น พี่เอ็มที่ได้ยินแผนการที่เราคุยกับพี่พลอย ก็นึกเป็นห่วงเลยมาแต่เช้ากว่าปกติ เห็นเหตุการณ์เข้าพอดีจึงช่วยกันดึงประตูเอาไว้ ฉันจึงออกไปตามยามให้มาช่วยกันอีกแรง

แต่พี่ยามก็ยังคงเข้าไปด้านในไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าป้าบัวแกมีอาวุธอะไรอีกบ้าง ทำได้แค่ป้องกันไว้ไม่ให้ป้าบัวออกมาด้านนอก  ขณะที่ฉันเริ่มมีอาการแสบคัน และบวมแดงบริเวณที่ถูกฉีดด้วยเข็มนั่น เวลาผ่านไปพักใหญ่ พนักงานคนอื่นเริ่มทยอยมาทำงาน แต่เข้าไปด้านในห้องแต่งตัวไม่ได้ ฝ่ายบุคคลจึงประสานจิตแพทย์ให้มาช่วยเกลี้ยกล่อและตำรวจให้มาควบคุมสถานการณ์ ซึ่งก็ดูท่าทางจะเป็นผลป้าบัวดูสงบลง ตำรวจจึงตัดสินใจ เปิดประตูและบุกเข้าไปด้านใน โดยที่เราและคนอื่นไม่ได้ตามเข้าไปเพราะถูกห้ามไว้ ครู่เดียวตำรวจก็นำตัวป้าบัวออกมาพร้อมกับใส่กุญแจมือป้าแกเอาไว้  ขณะที่เดินผ่านพวกเราป้าบัวหันมาจ้องหน้าพี่เอ็มแว๊บนึง ก่อนจะถูกคุมตัวขึ้นรถไป ตำรวจกันทุกคนออกจากพื้นที่ เราแยกตัวไปปฐมพยาบาลที่ห้องพยาบาล โชคดีที่สารนั้นถูกฉีดเข้าไปแค่น้อยมากๆ จึงส่งผลให้เซลล์ตายเป็นบริเวณเล็กๆเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆต้องไปนั่งรอที่ลานสนามหน้าโรงงานแทน จนเวลาล่วงเลยไปเกือบสองชั่วโมงทุกคนถูกสั่งให้เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเข้าทำงานตามปกติ ยกเว้นฉัน พี่พลอย พี่เอ็ม ที่ต้องไปให้ปากคำที่โรงพักต่อ ตำรวจให้เราดูรูปศพที่ถูกซ่อนอยู่ในล็อคเกอร์ของป้าบัว ซึ่งเมื่อฉันเห็นก็จำได้ทันทีว่าต้องเป็นคนๆเดียวกับที่ฉันเห็นในความฝันแน่ๆ นอกจากนั้นตำรวจยังได้ซักถามว่าพวกเรามีส่วนเกี่ยวข้องและรู้เห็นกับเหตุการณ์นี้หรือไม่ ซึ่งพวกเราทุกคนปฏิเสธและให้การณ์ตรงกันกับที่ป้าบัวเล่าและสารภาพว่าคนลงมือแต่เพียงผู้เดียว ตำรวจยังได้เล่ามูลเหตุจูงใจและที่ไปที่มาของศพนี้ให้พวกเราฟังว่า ศพในล็อคเกอร์คือพี่นกเจ้าของเก่าของล็อคเกอร์ฉัน เธอกำลังคบหาดูใจกับพี่ชาติอดีตผู้จัดการฝ่ายบุคคลของบริษัทและเป็นสามีลับๆของป้าบัว ป้าบัวเล่าให้ตำรวจฟังทั้งน้ำตาว่า ตนและพี่ชาติคบหาดูใจกันอย่างเงียบๆ เป็นเวลานานหลายปี แต่พี่ชาติขอให้เก็บเรื่องความสัมพันธ์เป็นความลับ โดยอ้างเหตุผลเกี่ยวกับหน้าที่การงาน เพราะเมื่อก่อนตนเป็นเพียงพนักงานฝ่ายผลิตธรรมดาๆ แต่ฝ่ายชายกำลังจะได้ขึ้นเป็นผู้จัดการ ความสัมพันธ์พัฒนาขึ้นจนกระทั่งตนตั้งท้อง แต่พี่ชาติยังขอให้เก็บเป็นความลับอีก ตนจำยอมเพื่ออนาคตของครอบครัว แต่เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามที่หวังพอพี่ชาติได้ขึ้นเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล เขากลับไม่เปิดเผยความสัมพันธ์ตามที่เคยบอกไว้ กลับกันคือความเจ้าชู้ที่มากขึ้นควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ทำให้ป้าบัวแกเสียใจมากและเพราะความเครียดสะสมขณะที่ตั้งครรภ์นี่เอง ทำให้ลูกน้อยที่เกิดมาพิการทางสมอง  พี่ชาติยินดีจะช่วยดูแลค่าใช้จ่ายแต่ไม่ขอกลับไปอยู่เป็นครอบครัว ถึงอย่างนั้นก็เถอะเวลาพี่ชาติไม่มีที่ไปก็กลับไปหาป้าบัวทุกที ต่อมาพี่ชาติถูกกดดันอย่างหนักจากทางบริษัทเพราะมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม จึงลาออกไปทำงานที่ใหม่และได้พบเจอกับพี่นกจนนำไปสู่การสานความสัมพันธ์กันขึ้น พี่นกไม่เหมือนผ๔้หญิงทุกคนของพี่ชาติเพราะร้ายและตามระแวงผู้หญิงทุกคน รวมถึงป้าบัวที่แกก็สืบจนรู้ว่าเป็นภรรยาที่มีลูกด้วยกันจนโตถึง 14 ปี พี่นกขแให้พี่ชาติใช้เส้นสายฝากตนเข้าทำงานในบริษัทเก่าซึ่งก็คือบริษัทที่ฝึกงานในตอนนี้ และก็บังเอิญบังเอิญที่ทางแผนก QE ได้เรียกให้ป้าบัวมาช่วยทำเอกสารเพราะเห็นว่าแกอายุมากแล้วและมีลูกให้ต้องดูแล พอพี่นกได้เข้ามาทำวานในตำแหน่งซุปเปอร์ไวเซอร์ เลยใช้อำนาจที่มีกลั่นแกล้งป้าบัวสารพัด แต่ที่ทำมห้ฟางเส้นสุดท้ายขาด คือวันที่ฝนตกหนัก ป้าบัวแกขอกลับบ้านไปดูลูกชายเพราะลูกแกกลัวเสียงฟ้ามากๆ แต่พี่นกกลับห้ามไม่ให้กลับยัดเยียดงานให้ทำ จนเวลาเกือบทุ่มแกได้รับข้าวร้ายว่าบ้านเช่าหลังเล็กที่แกอาศัยอยู่ถูกไฟไหม้ ซึ่งลูกชายเพียงคนเดียวของแกถูกไฟคลอกดำเป็นตอตะโก แกต้องจัดงานศพให้ลูกเพียงลำพังแม้แต่พ่อแท้ๆของลูกแกยังโผล่หน้ามาแค่วันเผาแถมพาพี่นกที่แกฝังใจว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกชายแกตายมาเย้ยกันด้วย หลังจากงานศพลูกแกจบลงแกก็มาทำงานตามปกติ วันที่แกลงมือเป็นวันแรกหลังจากที่กลับมาทำงานนั่นแหละ วันนั้นแกบังเอิญเจอพี่นกที่ล็อกเกอร์ ทำให้มีปากเสียงกัน พีนกกล่าวหาว่าแกตั้งใจจะเอาลูกเป็นตัวรั้งพี่ชาติเอาไว้ แกเลยโกรธพลั้งมือเอามีดปลอกผลไม้ที่ติดตัวมาด้วยแทงเข้าที่คอของพี่นก จนเสียชีวิต ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้วจึงไม่มีคนเห็นเหตุการณ์ แกไม่รู้จะทำยังไงเลยลากศพของพี่นกไปซ่อนในล็อคเกอร์ของตัวเองที่อยู่ข้างๆกับล็อคเกอร์ของพี่นก วันรุ่งขึ้นแกลาครึ่งวันไปซื้อฟอร์มาลีนจากร้านขายโลงศพที่แกซื้อโลงให้ลูกชายมา 1 แกลอน โดยอ้างกับทางร้านค้าว่าพ่อของเด็กที่อยู่เมืองนอกอยากมาร่วมงานด้วยต้องเก็บศพไว้รอก่อน ทางร้านหลงเชื่อและให้น้ำยาแก่ป้าบัวมา แกเอามาฉีดที่ศพไปจนทั่วร่างกาย ช่วงแรกๆทำให้กลิ่นไม่ออก และศพไม่เน่าเปื่อย แกจึงเริ่มทำการตัดชิ้นส่วนแร่เอาเนื้อส่วนที่แร่ได้ออกไปทีละนิดละหน่อย รวมถึงผ้าเอาพวกเครื่องใน นิ้วมือ นิ้วเท้าออกไปทิ้งตามห้องน้ำที่ตามที่ต่างๆที่แกไปรวมถึงบ้านฉันด้วย แกอาศัยมาทำงานแต่เช้าและกลับดึกเอาหน่อย แต่ช่วงหลังๆศพเริ่มส่งกลิ่นและร่างกายศพเริ่มแข็ง  แกเลยต้องรีบชำแระร่างให้เร็วที่สุด เป็นเหตุผลที่แกต้องอยู่ในล็อคเกอร์เกือบถึงเจ็ดโมง ฉันเลยบังเอิญมาเจอเข้าจนได้ ก่อนจะกลับพี่เอ็มขอเข้าไปคุยกับป้าบัวที่ห้องขัง อาจเป็นเพราะแกรู้สึกสงสารและเห็นใจป้าบัว ฉันกับพี่พลอยเลือกที่จะรออยู่ด้านนอก รออยู่แค่ครู่เดียวพี่เอ็มก็ออกมา เราสามคนเลือกที่จะแยกย้ายกลับบ้านเลยไม่กลับไปที่บริษัท พี่พลอยที่บ้านอยู่ใกล้สุดเลือกที่จะนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับไป ส่วนพี่เอ็มกับฉันเลือกที่จะนั่งรถสองแถวคนละสายเพื่อกลับบ้านตัวเอง รถสายของพี่เอ็มมาก่อนแต่ขณะที่พี่เอ็มก้าวขึ้นรถไป มีกระดาษแผ่นเล็กๆหลุดออกจากกระเป๋ากางเกงของแก ฉันเก็บขึ้นมากะจะนำไปคืนวันพรุ่งนี้ แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นฉันเลยแอบเปิดอ่าน จดหมายน้อยใบนั้นเขียนข้อความว่า
“ ลาออกไปเริ่มต้นใหม่เถอะลูก ไม่ต้องห่วงป้าจะรับผิดไว้แค่คนเดียว คนอย่างมันไม่ควรจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ขอให้น้องสาวของเอ็ม ที่เป็นเหยื่อความหึงหวงของนังนก หายกลับมาเป็นปกติ อย่าต้องให้ถึงชีวิตอย่างลูกชายป้าเลย” ลายมือในจดหมายต้องเป็นของคนๆเดียวกับเจ้าของคำว่า “สวัสดี”ในล็อคเกอร์ฉันแน่ๆ ป้าบัวคงทำไว้หลอกให้ฉันกลัว
ตอนนี้จดหมายในมือฉันและหัวใจสั่นระรัว ในหัวเต็มไปด้วยความสับสน
ฉันคงต้องกลับไปที่โรงพักก่อน ขอบคุณที่อ่านกันจนจบ

“สวัสดีค่ะ”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น