บทความส่วนใหญ่ เป็นนิยาย เรื่องสั้น เรื่องเล่า มีทั้งอ้างอิงจากเค้าโครงเรื่องจริง และเรื่องแต่งขึ้นเอง

Tadeestory/ผู้รอดชีวิต 11(ตอนจบ)



เมื่อได้รับรู้ความเป็นมาของวิญญาณเด็กสาวล่องหนจากที่ลุงเก่งเล่า ต้นและเพื่อนจึงตัดสินใจเดินทางกลับไปตั้งหลักที่บ้าน เพราะกลัวว่าถ้าหาก หนึ่งกลับมาถึงก่อนอาจจะสงสัยตนได้
 “พีว่าเด็กผู้หญิงที่เป็นน้องคนเล็กจะใช่หนึ่งจริงๆมั้ย” ต้นถามวัลลพในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ที่สุดบนรถด้วยความสับสน
 “จะว่าใช่มันก็ยังไม่ชัวร์ว่ะ หน้าตาก็ไม่ได้เหมือนมากแค่คล้ายๆ แต่ถ้าจะว่าไม่ใช่ มันก็คงบังเอิญมากๆที่คนหน้าคล้ายกัน ชื่อเหมือนกัน แถมถ้าเทียบวันเกิดเหตุกับอายุของหนึ่ง ป่านนี้เด็กคนนั้นคงอายุเท่าหนึ่ง” วัลลพแสดงความคิดเห็น
 ”ผมน่าจะถามหลวงพี่หนุ่มไปให้รู้แล้วรู้รอด” ต้นที่สงสัยอย่างหนัก เริ่มหัวเสีย
 “เอ็งใจเย็นๆ ถ้าหลวงพี่เค้าจะบอกเค้าคงบอกแกเอง นี่เค้าไม่บอกแปลว่าเค้าไม่อยากบอกหรือไม่ก็ไม่รู้ เอางี้ เอ็งเอารูป พ่อ แม่หรือว่าญาติๆของหนึ่งไปให้ป้าแกดูสิ เพื่อเค้ารู้จัก”วัลลพแนะนำต้น
 “รูปเหรอพี่ ? ผมว่าน่าจะยาก ขนาดผมถามเค้าว่าเค้าหน้าเหมือนพ่อ หรือ แม่ หนึ่งยังไม่รู้เลยเพราะพ่อกับแม่เค้าเสียแต่เด็ก รูปก็ไม่มี” 
“แล้วน้าละว่ะ”วัลลพถามต่ออย่างมีความหวัง 
“น้าแก้วเนี่ย ตอนผมเจอแกครั้งแรกก็ป่วยแล้ว ผมมีแค่รูปตอนที่แกผอมมากๆ ถึงเอามาให้ชาวบ้านดูก็คงจำไม่ได้หรอก” 
ได้ฟังคำตอบวัลลพได้แต่ส่ายหัว
 “ถ้างั้นก็ใจเย็นๆ กลับไปตั้งหลักกันก่อน ถามจริงถึงหนึ่งจะเป็นน้องสาวพระมันก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่หว่า จะเครียดทำไมว่ะ”วัลลพถามด้วยความไม่เข้าใจ “ถ้าหนึ่งเป็นแค่น้องสาวพระผมก็โอเคนะ แต่ที่ผมเครียดเนี่ยเพราะถ้ามันไม่มีอะไรหนึ่งเค้าจะโกหกผมไปทำไม” ใช้เวลาไม่นานรถก็พาหนุ่มๆทั้งสามคนกลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย เมื่อมาถึงบ้านก็พบว่าหนึ่งกับเรย์กลับมาถึงก่อนแล้ว
 “อ้าว หนึ่ง เรย์กลับมานานแล้วเหรอ” ต้นแกล้งถามกลบเกลื่อน 
“ค่ะหนึ่งกลับมาสักพักแล้ว ว่าแต่ต้นไปไหนกันมาคะ” หนึ่งถามด้วยความสงสัย
 “เอ่อ ต้นพาพี่เค้าไปซื้อกับแกล้มมาเพิ่มน่ะ”
 “ไปกันสามคนเลยเหรอคะ แล้วไม่เห็นได้อะไรมาเลย” หนึ่งถามต่อด้วยความระแวง
 “ทีแรกพี่ว่าจะไปกับต้นแค่ 2 คนแต่ไอ่แทนมันดันกลัวผี ไม่กล้าอยู่คนเดียวเลยต้องพากันยกไปหมด ” วัลลพพูดพร้อมกับชูถุง ขนมสองสามถุงที่ซื้อมาจากร้านป้าเมื่อครู่ 
“ของขายก็น้อยๆ ได้มาแค่นี้เอง หนึ่งกับเรย์กลับมาก็ดีแล้วโชว์ฝีมือชิมหน่อย” วัลลพยังทำเนียนต่อ
 “อ๋อ ได้ค่ะ แต่คงต้องรอหน่อยนะคะ หนึ่งก็พึ่งมาถึงยังไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย” หนึ่งเชื่อที่วัลลพพูดซะสนิทใจ จึงไปทำกุ้งแช่น้ำปลาตามที่วงเหล้าขอ เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ต้นและเพื่อนๆจึงกลับไปตั้งวงกันต่อ แต่บรรยากาศในวงกับเงียบเหงากว่าปกติ ทำให้ต้องเลิกลากันไปตั้งแต่เวลา 2 ทุ่มเศษๆ หนึ่งที่เหน็ดเหนื่อยกับงานขึ้นบ้านใหม่มาทั้งวัน จึงรีบอาบน้ำอาบท่าและเข้านอนเร้วเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับต้นทีพยายามจะนอนเร็วๆ แต่ทว่าในหัวสมองยังคงวนเวียนกับเรื่องประหลาดที่ตนพบเจอจนทำให้นอนไม่หลับ ต้นคิดทบวนเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น แต่จู่ๆ ก็นึกถึงภาพที่หนึ่งนั่งคุยกับรูปของใครบางคนที่หนึ่งเรียกว่าแม่ ต้นจึงเหลือบตาไปมองก็เห็นว่าหนึ่งหลับสนิทไปแล้ว จึงค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงหวังจะไปหารูปๆนั้นที่ในครัว เดินไปจนเกือบถึงหน้าห้อง ต้นเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรจะเอามือถือไปถ่ายรูปไว้ด้วย จึงย้อนกลับมาที่เตียง ขณะที่ต้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหนึ่งขยับตัวเล็กน้อยทำให้ต้นตกใจสะดุ้งโหย่ง แต่พอเห็นว่าหนึ่งเพียงแค่เปลี่ยนท่านอนเท่านั้นไม่ได้ตื่น ต้นจึงตรงไปที่ห้องครัวตามเดิม
 “เริ่มจากตรงไหดีว่ะ” ต้นพรึมพรัมกับตัวเอง
 “แขว่งๆ”เสียงคล้ายๆกับหนูตะกุยอะไรบ้างอย่างดังขึ้นที่ชั้นเก็บของ ใต้เตาแก๊ส 
“เสียงอะไร”ต้นบ่นเบาๆอีกครั้ง พร้อมกับเดินไปหาตัวกำเนิดเสียง ต้นเปิดชั้นเก็บของนั้นออกมาก็เจอกับหนูตัวเกือบๆเท่าแมว หนูตัวนั้นนัยตาแดงเหมือนเลือด พอสบตากันไม่ถึงเสี้ยววินาทีหนูก็วิ่งหายไปในความมืด ต้นเองก้ไม่ได้สนใจจะตามหาหนูต่อ เพราะสิ่งที่อยู่ในชั้นใต้เตาแก๊ส คือกล่องคุกกี้กล่องเดียวกับที่วางบนตักของหนึ่งวันนั้น ต้นรีบหยิบกล่องนั้นขึ้นมากะจะแกะดู แต่ว่ามันคงจะอันตรายเกินไป กลัวว่าหนึ่งจะมาเห็น เลยถือกล่องนั้นเข้าไปแกะในห้องน้ำแทน เมื่อมาถึงห้องน้ำต้นจัดการปิดประตูลงกลอน “แกร็ก”ด้วยความเก่าของกล่องจะทำให้มีเสียงดังเล็กน้อยเวลาที่เปิด ในกล่องมีรูปคนมากมาย ทุกรูปล้วนแต่เป็นรูปเก่า สีจางๆคุณภาพของกล้องที่ใช้ถ่ายคงไม่ดีนัก ต้นหยิบขึ้นมาดูทีละรูป ทีละรูป รูปแรกเป็นรูปของผู้หญิงวัยประมาณ 18-19 ปี ใส่เสื้อแขนกุด คนนี้น่าจะเป็นน้าแก้วสมัยสาวๆ ต้นจำได้เพราะเธอมีไฟเม็ดใหญ่อยู่ตรงหัวไหล่ รูปถัดๆไปเป็นรูปของหนึ่งเองสมัยที่ประกวดนางงามเวทีต่างๆ มีอยู่หลายใบมากๆ ต้นดูไปก็อมยิ้มไป “นี่ต้องแต่งหน้าเข้ม ใส่วิกสูงขนาดนี้เลยเหรอ”ต้นพรึมพรัม เปิดดูรูปไปเรื่อยๆต้นก็พบกับรูปที่ทำให้ขำไม่ออก รูปนั้นเป็นรูปของผู้หยิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ใส่ชุดสีดำนั่งอยู่หน้าโลงศพ ด้านข้างมีเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 3-4 ขวบนั่งอยู่ อีกข้างเป้นเด็กผู้ชายอายุประมาณ 9-10 ขวบ เด็กสองคนต้นดูไม่ออกว่าเป็นใคร แต่ผู้หญิงที่นั่งตรงกลางต้นมั่นใจว่าเป็นคนๆเดียวกับผู้หญิงที่อยู่อัลบั้มรูป ที่ต้นเอาไปคืนพระหนุ่มแน่ๆ ต้นจึงยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้ และเริ่มมั่นใจว่าหนึ่งกับพระหนุ่มต้องมีความสัมพันธ์อะไรบ้างอย่างกันแน่ๆ นอกจากรูปถ่ายพวกนั้นในกล่องนี้ยังมี แม่กุญแจที่คล้องอยู่กับห่วงหูช้าง ตัวแม่กุญแจและห่วงโดนไฟเผาจนสีดำเกรียมแต่ก็ยังล็อคอยู่อย่างแน่นหนา ถัดมาเป็นผ้ายันต์สีแดงๆ อ่านไม่ออกว่าเป็นภาษาอะไร และมีเชือกขนาดเกือบเท่านิ้วก้อยยาวประมาณ 1 คืบอยู่ในนั้นด้วย ต้นถ่ายภาพทุกอย่างไว้ เพราะตนก็ยังคิดไม่ออกว่าหนึ่งจะเก็บของพวกนี้ไว้ด้วยกันทำไม เมื่อได้รู้แล้วในกล่องมีอะไรต้นจึงเอาไปเก็บไว้ที่เดิม แล้วกลับเข้าไปนอนตามเดิม เช้าวันรุ่งขึ้นต้นพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ หนึ่งที่ยังไม่ทันได้จับสังเกต ก็ไม่ได้ระแวดระวังอะไร ยังคงทำอาหารเช้าให้ต้นทานก่อนไปทำงานตามหน้าที่ภรรยาที่ดีเหมือนปกติ เมื่อต้นออกไปทำงานแล้ว หนึ่งจึงนำพวงมาลัยที่เหลือจากพิธีเมื่อวาน ซึ่งจริงๆหนึ่งตั้งให้เหลือ เพื่อที่จะได้นำไปประดับที่ศาลของพ่อ พอหนึ่งนำพวงมาลัยออกจากตู้แย็นเสร็จ ก็เตรียมตัวออกจากบ้านไป ในขณะที่หนึ่งกำลังจะปิดประตูล็อคบ้าน “ฮึ ฮึ”จู่ๆก็มีเสียงคล้ายคนหัวเราะดังออกมาจากในบ้าน หนึ่งจึงรีบล็อคบ้านแกล้งทำเป็นไม่สนใจและออกไปทันที ครู่เดียวหนึ่งก็มาถึงศาลของพ่อ
 “หนึ่งเอาพวงมาลัยดอกมะลิมาให้พ่อนะคะ”
หนึ่งพูดเบาๆที่หน้าศาลพร้อมกับคล้องพวงมาลัยไว้ที่ยอดศาลที่ผุๆ
“ว่าแล้วว่า โยมต้องมาที่นี่” พระหนุ่มโผล่ออกมาจากป่าทางด้านหลังของศาล หนึ่งสะดุงด้วยความตกใจเล็กน้อย
 “หลวงพี่ มาที่นี่ทำไมคะ”หนึ่งถามพระหนุ่ม
 “อาตมามีเรื่องจะคุยด้วยแต่ไม่อยากไปที่บ้านโยมเลยมารอตรงนี้ โยมตามอาตมามาเถอะ ตรงนี้เดี๋ยวมีคนมาเห็น” พระหนุ่มพูดจบก็เดินนำไป โดยมีหนึ่งตามไปห่างๆ เดินลึกเข้าไปในป่าเล็กน้อยก็เจอกระท่อมเก่าๆ อยู่หลังหนึ่ง หลวงพี่เดินนำเข้าไป
 “อาตมาว่า โยมต้นเริ่มสงสัยแล้วล่ะ” พระหนุ่มพูดขึ้นทันทีที่ไปถึงกระท่อม
“ทำไมหลวงพี่คิดอย่างนั้นคะ หนึ่งไม่เห็นต้นจะสงสัยอะไรหนึ่งเลย ก็เห็นเค้าปกติดีนะ หลวงพี่คิดมากไปรึเปล่าคะ”หนึ่งพยายามอธิบายให้พระหนุ่มฟัง
“เค้าไปถามหาจ่อยที่วัด เค้าไม่ถามอะไรโยมเลยเหรอ ?”หลวงพี่ถามต่อ
“จริงเหรอคะ ต้นจะไปหาจ่อยทำไม แล้วเค้าจะรู้จักจ่อยได้ยังไง”หนึ่งถามต่อ ในใจก็สับสนอย่างหนักต้นไม่น่าจะรู้จักจ่อยได้
“อาตมาเลยมาถามว่า เค้าถามอะไรโยมบ้างรึเปล่า โยมได้พูดเรื่องจ่อยให้เค้าฟังมั้ย”
 “เปล่าค่ะ ต้นไม่ได้ถามอะไรหนึ่งเลย เค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนึ่งไปที่วัดมา ”หนึ่งตอบด้วยความมั่นใจ
 “ถ้าไม่ใช่อาตมา กับ โยมก็คงเป็นจ่อยแล้วล่ะที่บอก”พระหนุ่มพูดขึ้น
 “จ่อยเนี่ยนะ จ่อยจะรู้จักต้นได้ยังไงคะ”
 “จ่อยเคยเห็นโยมต้นหลายครั้งตอนที่เค้ามาติดต่อซื้อที่ ถึงจะไม่เคยคุยกันแต่จ่อยเป็นเด็กช่างสังเกต มันต้องรู้แน่ๆว่าโยมต้นเป็นคนมาซื้อที่จากอาตมา” “หลวงพี่คงไม่คิดจะทำอะไรจ่อยใช่มั้ยคะ”
หนึ่งถามด้วยความเป็นห่วงจ่อย เมื่อเห็นว่าหลวงพี่ทำน้ำเสียงและหน้าตาน่ากลัวเหมือนทุกๆครั้งก่อนจะลงมือ
“หลวงพี่ครับๆ”พูดยังไม่ทันขาดคำเสียงจ่อยดังขึ้ “จ่อย จ่อยมาได้ยังไง” พรึมพรัม ขณะที่พระหนุ่มเดินออกจากกระท่อมไปรับจ่อย
“ทางนี้จ่อย ไม่ต้องโวยวายเสียงดัง หนวกหูจริงเอ็งเนี่ย” หลวงพี่พูดพร้อมกับรีบเดินไป ให้ถึงตัวจ่อย ฝั่งของหนึ่งพอตั้งสติได้ รีบลุกออกไปจากกระท่อม พร้อมกับตะโกนให้เด็กน้อยรู้ตัวว่าที่นี่มีภัย
 “จ่อยหนีไป จ่อยหนีไปเร็ว” แต่ช้าไปเสียแล้วพระหนุ่มถึงตัวเด็กน้อยผู้โชคร้ายแล้ว จ่อยที่ยังคงตกอยู่ในความงงงวย ถูกพระหนุ่มฉวยตัวขึ้น แล้วโยนลงในแม่น้ำที่อยู่ใกล้เพียงไม่ถึงสองเมตรอย่างรวดเร็ว หนึ่งทรุดตัวลงนั่งร้องไห้
“พี่ทำแบบนั้นทำไม จ่อยไปเกี่ยวอะไรด้วย”หนึ่งตะโกนถาม 
“เงียบ”พระหนุ่มที่ยืนดูจ่อยกระเสือกกระสนอยู่ในแม่น้ำ หันมาชี้หน้าแล้วตะหวาดหนึ่ง
“ไม่ หนึ่งไม่เงียบ คราวนี้พี่ทำเกินไปแล้วนะ” หนึ่งที่น้ำตานองหน้า ตะคอกใส่พระผู้เป็นพี่กลับ
“ช่วยด้วย มีเด็กตกน้ำใครก็ได้ช่วยที” หนึ่งตะโกนพลางวิ่งไปทางหลังกระท่อม เพราะจำได้ว่าถ้าผ่านป่านี้ไปจะมี ชุมชนเล็กๆอาศัยอยู่ เผื่อจะมีใครช่วยได้ พระหนุ่มเห็นท่าไม่ดีเลยวิ่งตามไป 
“เงียบกูบอกให้เงียบ”พระหนุ่มวิ่งตามหนึ่งไปพูดเสียงเรียบๆ ด้วยความที่เป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ จึงได้เปรียบกว่า หนึ่งยังวิ่งไปไม่พ้นเขตป่าก็โดนพระหนุ่มจับตัวไว้ได้ พระหนุ่มใช้วิธีกระชากไปที่ผมของหนึ่งส่วนมืออีกข้างก็ปิดปากเธอไว้ แล้วกึ่งจูงกึ่งลากหนึ่งที่ดิ้นรนสุดชีวิตเข้าไปในกระท่อม เมื่อมาถึงหน้ากระท่อมพระหนุ่มใช้แรงเหวี่ยง หนึ่งเข้าไป จึงทำให้หนึ่งกระแทกกับพื้นอย่างแรงและเจ็บที่ขา พระหนุ่มดึงจีวรของตนออกมาฉีกเป็นเส้นๆ
“พี่จะทำอะไรอีก”หนึ่งถามพระด้วยเสียงสะอื้น
 “กูไม่ฆ่ามึงหรอก”พระหนุ่มตอบกลับเสียงเรียบๆ พร้อมกับขยับตัวเข้ามาใช้จีวรรัดข้อมือของหนึ่งไว้ “เหมือนทุกครั้งที่พี่เหลือหนึ่งเอาไว้ เผื่อมีคนสงสัยหนึ่งจะได้รับกรรมแทนพี่ใช่มั้ย” หนึ่งที่ไม่ได้ขัดขืนถามพระหนุ่ม พระหนุ่มไม่ตอบแต่กลับเอาผ้าอีกผืนขึ้นมาทำท่าจะปิดปากหนึ่ง
“ถามจริงๆทำไมต้องฆ่าจ่อยด้วย เค้าอาจจะไม่ได้เป็นคนบอกอะไรต้นก็ได้” หนึ่งถามด้วยความไม่เข้าใจ พระหนุ่มยังไม่มีท่าทีสนใจคำถามของหนึ่ง ทำการเอาผ้าปิดปากหนึ่งต่อไป
 “ใครที่มันจะทำให้กูชิบหาย ก็ต้องฆ่ามันให้หมด มึงรออยู่นี่ เดี๋ยวกูจะพามึงหนีเอง” พูดจบพระหนุ่มเดินออกจากกระท่อมไป พร้อมกับใช้กุญแจล็อคกระท่อมไว้ ไม่ให้ใครเข้าไปได้ ด้วยความเร่งรีบพระหนุ่มลืมดูไปเลยว่า จ่อยจมน้ำไปแล้วหรือยัง พระหนุ่มแอบกลับเข้าวัดทางด้านหลังของวัด ตรงนี้เป็นที่ตั้งของสถูปเจดีย์จำนวนมาก จึงไม่มีคนเห็นว่าตนเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน พระหนุ่มใช้น้ำเปล่าแบบเป็นขวดที่ตั้งอยู่หน้าสถูปเจดีย์ มาล้างเนื้อล้างตัว แล้วเดินกลับขึ้นกุฏิไป อย่างไม่มีใครทันได้สังเกตุ เมื่อถึงกุฏิ พระหนุ่มรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาต้น
“โยมต้น อาตมามีเรื่องอยากคุยด้วย มาหาอาตมาที่วัดได้มั้ย”
“หลวงพี่มีอะไรเหรอครับ บอกผ่านโทรศัพท์ได้มั้ย พอดีผมทำงานอยู่น่ะครับ ” ต้นตอบผ่านสายไป
 “ไม่ได้หรอกโยม อาตมาอยากให้โยมมาเห็นด้วยตาตัวเอง” ได้ยินแบบนั้นต้นที่อยากจะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างหนึ่งกับพระหนุ่มอยู่แล้ว จึงรีบตอบตกลง “ถ้าอย่างนั้นหลวงพี่รอผมถึงเที่ยงได้มั้ยครับ ผมจะรีบลางานไป”
 “ได้แต่โยมต้องรีบมาหน่อยนะ” พระหนุ่มกำชับ หลังจากวางสายต้นตัดสินใจโทรหาหนึ่ง เพื่อจะถามหนึ่งแบบตรงไปตรงมาสักกครั้ง แต่โทรเท่าไหร่หนึ่งก็ไม่รับโทรศัพท์เลย ต้นจึงเปลี่ยนเป็นส่งข้อความทางไลน์ไปแทน
 “ไลน์” เสียงแจ้งเตือนไลน์ดังขึ้นหนึ่งรีบอ่าน ที่จริงหนึ่งได้ยินเสียงโทรศัพท์อยู่นานแล้วแต่ไม่สามารถรับได้เพราะถูกมัดมืออยู่ ที่หน้าจอปรากฏข้อความว่า “หนึ่งคุณมีอะไรจะบอกผมมั้ย ”หนึ่งอ่านข้อความแล้วน้ำตาเริ่มไหล โทรศัพท์เงียบไปสักพักก็มีเสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้นอีกพร้อมกับปรากฏข้อความ
 “หลวงพี่หนุ่ม ให้ต้นไปพบบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย หนึ่งถ้ามันมีอะไรที่ต้นยังไม่รู้ต้นก็อยากได้ยินความจริง จากหนึ่งเป็นคนแรกนะ” หนึ่งยิ่งร้องไห้หนักเข้าไปอีกกลัวว่าพระหนุ่มจะฆ่าต้นอีกคน หนึ่งพยายามจะแก้มัดตัวเองด้วยการเอาปมเชือกไปถูกับเสาไม้เก่าๆในกระท่อม แต่ใช้เวลานานจนเหนื่อยก็ยังไม่สามารถตัดเชือกได้เสียที เวลาผ่านไปจนเที่ยง ต้นก้มดูโทรศัพท์มือถือไม่มีข้อความหรือสายโทรกลับจากหนึ่งเลย
“ทำไมคุณถึงไม่เชื่อใจผม” ต้นบ่นเบาๆด้วยความน้อยใจที่หนึ่งไม่ยอมบอกความจริงกับตนทั้งๆทีเรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ต้นเดินทางไปที่วัดตามคำเชิญชวนของพระหนุ่ม เมื่อไปถึงวัดก็เจอกับพระรูปเดิมที่เคยไปถามหาจ่อย จึงให้พระรูปนั้นพาไปที่กุฏิของพระหนุ่ม
 “อาตมานึกว่าโยมจะไม่ยอมมาเสียแล้ว” พระหนุ่มพูด หลังจากที่รอต้นอยู่นาน 
“หลวงพี่มีเรื่องอะไรเหรอครับ เกี่ยวกับหนึ่งใช่มั้ย” ต้นถามด้วยความใจร้อน 
“ใช่ เกี่ยวกับโยมหนึ่ง” เมื่อยินคำตอบต้นรอฟังอย่างตั้งใจ
“คือวันก่อนอาตมานึกขึ้นได้ว่ามีของคลังที่เก็บเอาไว้ อยากจะให้โยมต้น ก็เลยให้จ่อยไปส่งจดหมายที่บ้านโยม แต่จ่อยมันกลับมาบอกว่าเจอแต่ผู้หญิงอยู่บ้าน อาตมาก็เข้าใจว่าคงเป็นภรรยาของโยม ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ครู่เดียวภรรยาโยมต้นก็มาหาอาตมาที่วัด ครั้งแรกที่อาตมาได้เห็น อาตมาก็ตกใจมากเพราะ แกหน้าเหมือนน้องสาวอาตมามากๆ แต่ก็ไม่กล้าถามเพราะน้องสาวอาตมาคนนี้เค้าเกลียดที่นี่มากเค้าคงไม่กลับมาที่นี่หรอก จนวันที่อาตมาไปกิจนิมนต์ที่บ้านโยม ได้ยินโยมเรียกเธอว่าหนึ่ง อาตมาเลยเอะใจ แต่ก็ไม่กล้าถามอยู่ดี นอนคิดอยู่ทั้งคืน ก็เลยคิดว่าลองเรียกโยมต้นมาสอบถามดูน่าจะดีกว่า” “ผมเองก็กำลังสืบๆอยู่ แต่ยังไม่มีหลักฐาน” ต้นตอบหลังจากฟังพระหนุ่มจบ ทำให้พระหนุ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง ว่าจ่อยยังไม่ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ต้นฟัง
“งั้นโยมดูนี่นะ โยมพอจะรู้จักผู้หญิงในภาพนี้รึเปล่า” พระหนุ่มยื่นรูปของแก้วให้ต้นดู เพราะจำได้ว่าหลังจากที่หนึ่งส่งข่าวเรื่องน้าแก้วเสียไม่นาน หนึ่งก็ส่งข่าวเรื่องจะแต่งงาน เพราะฉะนั้นต้นน่าจะรู้จักแก้ว “น้าแก้ว ผมรู้จักครับน้าแก้วเป็นคนที่เลี้ยงหนึ่งมา”ต้นจำได้ทันทีที่ดูรูป
“คนนี้เป็นน้าสาว ของอาตมาเอง แสดงว่าที่เราคิดไว้ไม่ผิด ภรรยาของโยมคือน้องสาวของอาตมา”
 “ถ้าอย่างนั้น ทำไมหนึ่งต้องโกหกผมด้วย” ต้นถามเบาๆแต่พระหนุ่มที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ได้ยิน เลยยื่นรูปอีกใบให้ต้นดู ในรูปเป็นเด็กผู้หญิงที่กำลังจะโดนข่มขืนจากชายวัยกลางคน ต้นดุแล้วก็จำได้ทันทีว่าเด็กคนนี้คือหนึ่ง
 “โยมหนึ่งแกเกือบจะโดนพ่อเลี้ยงชำเรา รูปนี้”พริบพราว”น้องสาวของอีกคนของอาตมาเป็นคนถ่าย ดีที่อาตมาไปเจอก่อนเลยช่วยเอาไว้ได้” 
“แล้วทำไมคนที่ชื่อพริบพราว ต้องถ่ายรูปแบบนี้ไว้ด้วย เค้าควรจะต้องช่วยหนึ่งไม่ใช่เหรอ”
 “เรื่องมันยาว เอาเป็นว่า พราวเนี่ย เป็นลูกติดของน้าพิมพ์ ก็เลยไม่ใยดีพวกอาตมากับน้อง นี่แหละ ที่นี่มันมีแต่ความทรงจำร้ายๆทำให้หนึ่งแกเกลียดและไม่อยากกลับมาที่นี่” ต้นหลงเชื่อพระหนุ่มซะสนิทใจ และรู้สึกเห็นใจหนึ่งขึ้นมา
 “โยมกลับบ้านไปคุยกับหนึ่งเถอะ ปรับความเข้าใจกันสะ โยมคงไม่โกรธแกใช่มั้ย”
 “ผมไม่กล้าโกรธหนึ่งหรอกครับ ยิ่งรู้ว่าหนึ่งผ่านเรื่องร้ายๆมามาก ผมอาจจะเป็นไม่กี่เรื่องดีๆของเธอก็ได้ ถ้าอย่างนั้นผมลานะครับหลวงพี่”
 “รีบไปเถอะโยม” พระหนุ่มเล่นละครจนต้นหลงเชื่อ พอต้นกลับไป พระหนุ่มจัดการเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่ เป็นชุดฆารวาสธรรมดาพร้อมกับใส่หมวกปิดบังใบหน้า หวังจะไปพาตัวน้องสาวหลบหนีไปกัมพูชาด้วยกัน เพราะกลัวว่า หนึ่งจะเปลี่ยนใจบอกความจริงให้ต้นฟัง แล้วตนจะซวย จึงปีนกุฏิแล้วหลบหนีออกไปทางหลังวัด ก่อนต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงชาวบ้านโวกเวงโวยวายอยู่ทางหน้าวัด พระหนุ่มจึงย่องไปแอบดู “ไอ่จ่อย” พระหนุ่มอุทานเบาๆเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยที่ตนพยายามจะฆ่าเมื่อครู่ ยืนอยู่ในฝูงชนนั้นด้วย พระหนุ่มจึงรีบหลบเข้ามาใช้เจดีย์เล็กๆเป็นกำบัง แอบฟังอยู่ชั่วครู่ก็จับใจความได้ว่าที่ชาวบ้านโวยวายเพราะ จ่อยบอกว่าพระหนุ่มจับตัวมันโยนลงแม่น้ำหวังจะฆ่าแต่มีคนมาช่วยไว้ได้เพราะมีเด็กนักเรียนผุ้หญิงคนนึงไปเรียกมา พระหนุ่มจึงเปลี่ยนแผนหลบหนีไปเพียงลำพังแล้วทิ้งหนึ่งไว้ที่นี่ ทางฝั่งของหนึ่ง ที่ติดอยู่ในกระท่อมเล็กๆ ก็สามารถปลดเชือกตัวเองได้แล้วแต่ไม่สามารถออกจากกระท่อมที่ถูกปิดตายจากด้านนอกได้ หนึ่งจึงเลือกใช้โทรศัพท์โทรหาต้นแทน
“เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”เสียงคอลเซ็นเตอร์ตอบกลับมาตามสาย ทำให้หนึ่งรู้ว่าต้นปิดเครื่อง หนึ่งจึงเปลี่ยนเป็นทิ้งข้อความทางไลน์ แทน
“ต้นอย่าไปนะหลวงพี่อันตรายกว่าที่ต้นคิด”
 “ฮึๆๆ” เสียงหัวเราะที่เยือกเย็นและน่ากลัวดังขึ้นกึกก้องกระท่อมเล็กๆ หนึ่งมองไปรอบๆพบร่างผู้หญิงท่วมๆและผู้ชายรูปร่างใกล้เคียงกัน ตัวดำเป็นตอตะโกนั่งหลบอยู่ในมุมมืดๆ ก่อนที่จะค่อยๆลุกขึ้นเดินไปมา แต่ละย่างก้าวเหมือนมีความร้อนที่ออกจากเท้า ทำให้เศษใบไม้ที่โดนเหยียบติดไฟทีละใบสองใบ หนึ่งที่ทั้งกลัวผีทั้งกลัวตาย มองไปรอบๆกระท่อมเพื่อหาทางออกก็เห็นว่าหลังคาที่ทำด้วยสังกระสีเผยอออกแผ่นนึงพอจะเป็นทางหนีตายได้ พนังของกระท่อมทำด้วยไม้ จึงมีขั้นให้ปีนขึ้นไปได้ หนึ่งไม่รีรอที่เอาตัวรอดถึงแม้ขาจะเจ็บอยู่ ไฟเริ่มลุกแรงขึ้นเรื่อยๆเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นเรื่อยๆเหมือนกัน หนึ่งกระเสือกกระสนจนถึงหลังคา แล้วค่อยๆเอื้อมมือไปผลักหลังคาออก “พรึบ”หลังคาเปิดออกอย่างไม่ยากนัก หนึ่งรีบปีนขึ้นไปเพราะไฟเริ่มไล่หลังมาแล้ว ในที่สุดก็ออกมาจากกระท่อมได้แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด หลังคากระท่อมถึงจะไม่สูงมากแต่ไม่มีทางไหนที่หนึ่งพอจะปีนลงไปได้เลย มีทางเดียวคือต้องกระโดดลงไป “เอาว่ะ”หนึ่งพูดเบาๆกับตัวเอง “ผั๊ว” หนึ่งร่วงลงจากหลังคาอย่างไม่ทันตั้งตัว คล้ายมีคนถีบลงมา เสียงหัวเราะยังดังก้องอยู่ในหัว ทันทีที่ตัวถึงพื้นหนึ่งก็สลบไปทันที ขณะที่ต้นกลับมาที่บ้านแล้วไม่พบหนึ่งจึงพยายามตามหารอบๆ แต่หาไม่พบเพราะไม่ได้ข้ามไปอักฝั่งของถนน ต้นจึงตัดสินใจกลับไปที่วัดเพื่อปรึกษาพระหนุ่ม พอไปถึงจึงเห็นว่ามีเหตุจราจลเล็กๆที่วัด พอสอบถามได้ความว่าชาวบ้านมารวมตัวจะจับพระหนุ่มศึก แล้วเอาตัวไปดำเนินคดี เพราะพยายามจะฆ่าจ่อย แต่พอมาถึงวัดพระหนุ่มกลับหนีไปแล้ว ได้ยินแบบนั้นต้นแทบเป็นลม
 “พี่ครับพี่ต้องไปช่วยพี่หนึ่งนะ หลวงพี่จะฆ่าพี่หนึ่ง” จ่อยที่ได้ยินบางช่วงบางตอนของบทสนทนาระหว่าหนึ่งกับหนุ่ม รีบบอกให้ต้นฟัง
"จ่อย จ่อยรู้เหรอว่าหนึ่งอยู่ไหน”
 “อยู่ตรงข้ามบ้านของพี่นั้นแหละครับ เลยศาลของพ่อของหลวงพี่ไปจะมีกระท่อมร้างอยู่ครับ”

  1. “ขอบใจ ขอบใจมากนะจ่อย”ต้นขอบคุณจ่อยแล้วรีบไปหาหนึ่งตามที่จ่อยบอก “หนึ่งๆๆตื่น” “โอ้ย”หนึ่งที่เพิ่งจะฟื้นร้องด้วยความเจ็บปวดเพราะหนึ่งตกลงมาแล้วเอาเอวด้านหลังกระแทกกลับหินเข้าเต็ม ๆ “พี่หนุ่มทำไมแต่งตัวแบบนี้” “พี่มาลาตอนนี้ ชาวบ้านรู้แล้วว่าพี่พยายามจะฆ่าจ่อย”หนุ่มเงียบไปครู่เดียวก็พูดต่อ “พี่พูดให้ต้นเข้าใจแกแล้ว แกไม่ต้องห่วงเค้าไม่โกรธแกหรอก พี่ไปแล้วนะ”หนุ่มเดินหนีไปทางต้นไม้ที่อยู่ริมน้ำ “พี่หนุ่มจะไปไหน”หนึ่งถาม หนุ่มไม่ตอบแต่หันกลับมายิ้มมุมปากพร้อมกับควักเชือกในกระเป๋าออกมา “พี่หนุ่ม”หนึ่งพยายามจะลุกไปห้ามเพราะเกรงว่าหนุ่มจะทำร้ายตัวเอง แต่ทว่าขาของเธอกลับไม่สามารถควบคุมได้เลย หนุ่มค่อยๆปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ผูกเชือกปลายหนึ่งเป็นห่วง ส่วนอีกปลายผูกติดไว้กับต้นไม้ “ไม่ ไม่นะ พี่หนุ่ม อย่าทำแบบนั้นเลย มอบตัวเถอะ” หนึ่งพยายามร้องห้ามสุดเสียง “ไม่ กูจะไม่ยอมทนอยู่ในห้องแคบๆมืดๆเหมือนเดิมอีกแล้ว”หนุ่มพูดเบาๆพรางคิดถึงครั้งที่ยังเด็ก ขากลับจากไปเยี่ยมน้าแก้ว ความทรงจำสุดแสนเลวร้ายก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อแม่ไม่ได้เงินมาใช้หนี้เจ้าหนี้ พ่อจึงรู้ความจริงและขอแยกทาง แม่จึงนำแมงดาจากวงพนันมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน โดยกักตัวหนึ่งกับหนุ่มไว้ เพื่อขอเอาค่าเลี้ยงดูจากผู้เป็นพ่อ แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่พอกินพอใช้ เพราะเงินส่วนใหญ่หมดไปกับการพนันและเหล้ายา แม่เอาเงินที่น้าแก้วให้หนึ่งไปใช้จนหมด จึงจะบังคับเอาเงินจากหนุ่มไปอีก แต่หนุ่มเป็นเด็กหัวแข็งไม่เหมือนหนึ่ง หนุ่มไม่ยอมให้เงินแม่ จึงถูกแม่และพ่อเลี้ยงทุบตีบังคับเอาเงินไปและนำตัวไปขังไว้ในห้องน้ำเก่าที่อยู่นอกบ้าน เวลาที่ฟ้ามืดลงความเงียบและความมืดเข้าครอบงำห้องแคบๆแห่งนั้น มีเพียงจิ้งหรีด จิ้งจก ตุ๊กแกที่ร้องระงม ผลัดกับเสียงท้องร้องด้วยความหิวโหย หนุ่มต้องอาศัยมุมมืดๆของห้องพิงตัวเพื่อนอน “โอ๊กๆๆ” เวลาประมาณตีสี่หนุ่มจะถูกปลุกด้วยเสียงร้องโหยหวน ที่ดังมาจากโรงฆ่าสัตว์ฝั่งตรงข้ามของคลอง เสียงของวัวที่ร้องขอชีวิต บ้างก็ร้องด้วยความเจ็บปวดจากการโดนทุบศรีษะ มันโหยหวนน่ากลัวเกินคำบรรยาย ยิ่งคืนไหนมีงานศพ ที่วัดจะเปิดเพลงธรณีกรรแสง เคล้ากับเสียงร้องจากความทรมารของวัว ยิ่งทำให้เด็กชายวัยเพียงสิบขวบ กลัวจนตัวสั่นกลัวจนไม่กล้าลืมตา หากยังไม่สัมผัสไออุ่นของแสงอาทิตย์ หนุ่มใช้ชีวิตในห้องแคบๆกับความหวาดกลัวนั้นเกือบ 2 อาทิตย์ จนกระทั่งหนุ่มบังเอิญไปกินเห็ดพิษที่ขึ้นอยู่บนคานไม้ในห้องน้ำ ทำให้ท้องเสียอย่างหนักแม้กินไปเพียงเล็กน้อย หนึ่งที่ทำหน้าที่เอาข้าวมาให้ตามปกติ เห็นว่าพี่ชายกำลังป่วยจึงไปบอกให้แม่มาดู แต่แม่กลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย หนุ่มที่ทั้งถ่ายและอ้วกอยู่เกือบวันอ่อนเพลียอย่างหนัก ทำได้แค่กินน้ำในส้วมเก่าๆประทังชีวิต โชคดีที่หนึ่งสงสารพี่ชายมาก จึงขอให้พ่อมาช่วยพาตัวไปโรงพยาบาลได้ทัน ความทรงจำในครั้งนั้นทำให้หนุ่มเกลียดและกลัวที่แคบๆมาก “ปึ๋ง”เสียงหนุ่มทิ้งตัวลงจากต้นไม้ คอถูกรัดด้วยเชือก หน้าเปลี่ยนเป็นม่วงอมเขียวตาเหลือกถลน หนุ่มดิ้นกระเสือกกระสนเหมือนคนจะขาดใจ “ไม่ ไม่ ฮือๆ” หนึ่งร้องไห้ปานจะขาดใจ เอามือยันพื้นพยายามจะเคลื่อนตัวไปช่วยพี่ แต่มันคงจะช้าเกินไป ต้นปรากฏตัวขึ้นใกล้กับต้นไม้ต้นนั้น พร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ2-3คน หนึ่งรีบชี้มือไปที่ต้นไม้ที่หนุ่มหวังจะใช้ปิดชีวิต “ช่วยพี่หนุ่มด้วย” ทุกคนเมื่อเห็นร่างที่ห้อยโตงเตงอยู่กับต้นไม้ กำลังจะแน่นิ่งไป ก็รีบเข้าไปช่วย คนนึงรวบขาแล้วยกตัวขึ้น อีกคนรีบตัดเชือก พอนำตัวลงมาได้พบว่าหนุ่มยังมีลมหายใจอยู่จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล ในขณะที่ทุกคนวุ่นวายกับการช่วยหนุ่ม ต้นเลือกที่จะวิ่งมาดูหนึ่งที่นอนเจ็บอยู่ พบว่าหนึ่งเจ็บบริเวณเอวมาก และขาไม่สามารถขยับได้จึงนำตัวส่งโรงพยาบาลก่อน “หมอบอกว่าพระหนุ่ม ไม่สิ หนุ่มมีภาวะสมองตาย เกิดจากที่เชือกไปรัดคอจนทำให้ไม่สามารถหายใจได้ ออกซิเจนจึงไม่ไปเลี้ยงสมอง ถ้าไม่มีปาฏิหาริย์ ก็คงต้องเป็นเจ้าชายนิทราไปตลอดชีวิต” นายตำรวจนายหนึ่งอธิบายอาการของหนุ่มให้ต้นและชาวบ้านที่มารอฟัง “จากการตรวจสอบประวัติแล้วคุณหนึ่งกับหนุ่มเค้าเป็นพี่น้องกันจริง และจ่อยบอกว่าคุณหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์ตอนที่จ่อยถูกโยนลงน้ำ ทางเราคิดว่าคุณหนึ่งน่าจะรู้เหตุจูงใจเลยต้องขออนุญาตสอบปากคำเธอทันที ที่เธอพร้อม”ตำรวจอธิบายให้ต้นฟังต่อ “ได้ครับ ผมจะบอกหนึ่งให้”เมื่อทราบอาการของพระหนุ่มแล้ว ต้นจึงรีบไปดูหนึ่งที่ห้องพักฟื้น “พี่หนุ่มเป็นยังไงบ้างคะ”หนึ่งรีบถามถึงผู้เป็นพี่ด้วยความเป็นห่วง “เอ่อ พี่หนุ่มแกสมองขาดออกซิเจนไปช่วงหนึ่ง ทำให้เกิดอาการสมองตาย ถึงจะรอดแต่แกก็คงต้องเป็นเจ้าชายนิทรา”หนึ่งได้ยินที่ต้นเล่าน้ำตาก็ไหลนองหน้า “หนึ่งนี่มันเรื่องอะไรกันแน่ คุณช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อย ผมขอความจริงนะ”ต้นที่กำลังสับสนถามความจริงจากหนึ่ง “หนึ่งขอโทษนะต้น ที่ไม่กล้าบอกความจริงตั้งแต่ทีแรก เรื่องต่างๆมันเกิดขึ้นนานมากแล้ว”หนึ่งเล่าความจริงให้ต้นฟังว่า ตอนที่หนึ่งยังเด็ก แม่กับพ่อมีปากเสียงกันบ่อย เพราะแม่ติดการพนัน เป็นหนี้เป็นสิน ช่วงหลังพ่อยังจับได้ว่าแม่แอบมีความสัมพันธ์กับนักพนันในวง แต่ที่ทำให้พ่อรับไม่ได้คือเจ้าหนี้ในวงพนันของแม่มายึดเอาเครื่องเรือที่พ่อใช้หาปลาไป พ่อเลยขอแยกทางกับแม่ แล้วไปสร้างกระท่อมหลังเล็กๆในที่สาธาณะตรงข้ามกับบ้านหนึ่งกับต้นในตอนนี้นั่นแหละ แม่ก็เลยเอาผู้ชายคนใหม่เข้ามาอยู่ด้วยที่บ้าน พ่อพยายามขอหนึ่งกับหนุ่มไปอยู่ด้วยหลายครั้งแต่แม่ไม่ยอมให้ไป แม่กับหนุ่มมีปากเสียงกันเป็นประจำ มีอยู่ครั้งนึงแม่จับหนุ่มไปขังไว้ในห้องน้ำ จนทำให้หนุ่มท้องเสียอย่างหนักแต่แม่ก็ไม่สนใจ หนึ่งกลัวว่าหนุ่มจะตาย เลยไปตามให้พ่อมาช่วย หลังจากที่หนุ่มหายดีนิสัยใจคอหนุ่มก็เริ่มเปลี่ยนไป หนุ่มกลายเป็นคนเงียบๆจากที่เคยเถียงแม่แบบเถียงคำไม่ตกฟาก ก็กลับกลายเป็นนิ่งๆไปเวลาที่แม่ดุ ไม่กี่วันหลังจากที่หนุ่มหายดี หนุ่มไปได้เห็ดหน้าตาคล้ายเห็ดโคลนมาให้แม่ทำแกงเปรอะให้กิน ด้วยความที่แม่เป็นคนชอบกินเห็ดแม่กินแกงเข้าไปเยอะมากๆ ตกกลางคืนแม่ทั้งอ้วก ทั้งถ่ายอย่างหนักจนถึงเช้าแม่ก็เสีย ส่วนหนึ่งกินไปแค่นิดเดียวเพราะถูกหนุ่มห้ามไว้บอกว่ามันเผ็ดมาก หนึ่งก็เลยไม่เป็นอะไร มารู้ความจริงจาหนุ่มในตอนหลังว่าเอาเห็ดพิษปนกับเห็นโคลน มาให้แม่ทำกับข้าวเพื่อแก้แค้นที่แม่ขังตนไว้ในห้องน้ำ แถมยังไม่ดูดำดูดีตอนที่ตนป่วย แต่พี่หนุ่มต้องการเพียงจะแกล้งเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต นั้นเป็นครั้งแรกที่พี่หนุ่มยื่นความตายให้ผู้อื่น หนึ่งยังเล่าต่อไปว่า หลังจากที่แม่เสียชีวิตลงชาวบ้านไม่มีใครสงสัยอะไรเลย พ่อก็ย้ายกลับเข้ามาอยู่ที่บ้านกับลูกเหมือนเดิม แต่ได้นำ”พิมพ์” ภรรยาคนใหม่ และ “พริบพราว” ลูกติดของพิมพฺ์มาอยู่ด้วย หนุ่มไม่ชอบพิมพ์กับพราวอย่างเห็นได้ชัด เพราะสองแม่ลูกมักจะเสแสร้งแกล้งทำเป็นดีกับหนึ่งและหนุ่มต่อหน้าพ่อเท่านั้น พอหลับหลังก็จิกหัวใช้หนึ่งสารพัด พิมพ์บังคับให้หนึ่งกับหนุ่มเรียกตัวเองว่าแม่ หนึ่งก็ยอมแต่โดยดี แต่พี่หนุ่มกลับไม่ยอมเรียก นอกจากนั้นพิมพ์ยังออกอุบายว่าตนมาอยู่กับพ่อโดยไม่ได้ตกได้แต่ง อยากมีหลักประกันให้ชีวิตตัวเองบ้าง จึงขอให้พอโอนที่ดินและบ้านหลังนั้นให้เธอ ซึ่งพ่อก็หลงเชื่อและยอมโอนบ้านให้ เพราะคิดว่าพิมพ์เป็นคนดีจริง และเข้ากับลูกไปของตนได้ พอพิมพ์ได้เป็นเจ้าของบ้านแล้ว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป พิมพ์เริ่มคบหากับผู้ชายคนใหม่ที่เป็นพ่อค้าขายของที่หน้านิคมอุสาหกรรมที่มีฐานะร่ำรวยกว่า จนในที่สุดพ่อรู้ความจริง ทะเลาะกันบ้านแทบแตก พิมพ์บอกว่าถ้าหากพ่อรับไม่ได้ก็ให้พาลูกๆย้ายออกไปจากบ้านนี้ซะ พ่อเสียใจมากเพราะตนโดนหักหลังถึง สองครั้งสองครา อีกทั้งเรื่องที่เสียรู้ไปโอนบ้านให้พิมพ์ ทำให้พ่อคิดสั้น เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากเหตุทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างพ่อกับพิมพ์ ชาวบ้านก็ไปพบศพพ่อผูกคอตายอยู่ใต้ต้นไม้ริมคลอง ฝั่งตรงข้ามกับบ้านของหนึ่ง พอจัดงานศพของพ่อเสร็จ พิมพ์ก็พาชายชู้เข้าอยู่บ้านด้วยกันในฐานะสามีใหม่ ชาวบ้านเค้าก็พูดกันให้แซ่ดว่าพ่อผูกคอตายเพราะจับได้ว่าพิมพ์มีชู้ นั่นทำให้หนุ่มโกรธพิมพ์และชายชู้ที่ชื่ออานนท์มากๆเพราะเชื่อว่าสองคนนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อต้องตาย พิมพ์ให้หนึ่งกับพราวเรียกอานนท์ว่าพ่อนนท์ หลับหลังพิมพ์ อานนท์มักจะมีพฤติกรรมลวนลามพราวอยู่เสมอๆ จนกระทั่งวันที่พิมพ์ต้องไปงานศพเพื่อนที่ต่างจังหวัด นนท์ใช้ข้ออ้างว่าอยากอยู่ขายของมากกว่าเพราะกลัวลูกค้าจะหนี แต่จริงๆนนท์ใช้โอกาสนี้ในการข่มขืนพี่พราวแล้วถ่ายรูปเก็บเอาไว้ พร้อมกับขู่พราวด้วยว่าถ้าไปบอกใครจะปล่อยรูปนั้นออกไป เรื่องทั้งหมดหนึ่งกับหนุ่มรับรู้ดี แต่ที่หนุ่มไม่สนใจจะช่วยก็เพราะพราวก็ร้ายไม่ใช่เล่นๆ พราวมักจะโกหกเวลาที่ตัวเองโดดเรียนไปเที่ยวกับผู้ชาย แล้วกลับบ้านช้าด้วยการโยนความผิดให้กับหนุ่มว่าหนุ่มไปรับตนช้า เป็นสาเหตุที่ทำให้หนุ่มถูกอานนท์กับพิมพ์ทำร้ายเป็นประจำ พราวรู้สึกขยะขแยงเวลาที่ถูกอานนท์ล่วงละเมิดจึงคิดหาทางเอาตัวรอด ด้วยการหลอกให้หนึ่งเข้าไปอยู่ในห้องนอนของตัวเองในช่วงเวลาที่นนท์มักจะย่องเข้าไปประจำ ซึ่งก็เป็นไปตามแผนนนท์ย่องเข้าไปหาพราว แต่แม้จะเจอหนึ่งที่ยังเป็นเพียงเด็กอายุ 12 ขวบ นนท์ก็ยังพยายามจะล่วงละเมิดด้วยตัณหาที่ล้นตัว เมื่อเป็นไปตามแผนพราวเอาโทรศัพท์มือถือโนเกียที่ยืมเพื่อนชายของเธอมาถ่ายรูปเก็บไว้ บังเอิญหนุ่มมาเห็นเสียก่อนเลยช่วยหนึ่งได้ทัน แต่ตามไปลบรูปในมือถือที่พราวถ่ายไม่ทัน วันรุ่งขึ้นทั้ง 3 ไปโรงเรียนด้วยกัน ขากลับพราวพยายามเจรจาบังคับให้หนึ่งไปเป็นผู้บำเรอความใคร่ของอานนท์แทนตน หากหนึ่งไม่ทำพราวจะเอาภาพที่ถ่ายไว้ไปประจานที่โรงเรียน ซึ่งเธอได้แอบกระโดดรั้วโรงเรียนออกไปล้างรูปนั้นมาไว้แล้ว หนุ่มได้ยินก็โกรธจัดพยายามจะแย่งรูปจากพราวแต่พราวไม่ยอม เลยแสร้งทำเป็นบอกพราวว่าขอเป็นคนพูดกล่อมน้องสาวด้วยตนเอง แต่จริงๆแล้วหนุ่มมาวางแผนกับหนึ่งว่าจะจัดการกับพราวยังไง ซึ่งหนึ่งเองไม่ค่อยเหฌนด้วยเพราะกลัวว่าจะโดนคนอื่นจับได้ หนุ่มเลยอาสาทำเอง ระหว่างทางกลับบ้านฝนเกิดตกหนักราวกับฟ้าเป็นใจ หนุ่มพยายามขอรูปถ่ายจากพราวดีๆ แต่พราวกับต่อว่าดูถูกว่าหนึ่งเป็นลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่โตขึ้นคงไม่พ้นหญิงหากิน ให้ถือซะว่าซ้อมร่างกายไว้ตั้งแต่ตอนนี้ หนุ่มโกรธมากจึงแกล้งทำเป็นว่าตนขับรถล้มทั้งสามกลิ้งไปคนละทิศละทาง พราวพยายามต่อว่าหนุ่มที่ทำให้เธอเจ็บและเปรอะเปื้อนพลางใช้มือปัดเศษหญ้าออกจากร่างกายเลยไม่ทันได้ระวังตัว หนุ่มมองซ้ายขวาไม่เห็นมีใครจึงใช้ท่อนไม้ขนาดเกือบเท่าขา คาดว่าน่าจะเป็นกิ่งที่ร่วงลงมาจากต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงนั้น ฟาดเข้าบริเวณท้ายทอยเต็มแรง พริบพราวล้มตัวลงกับพื้นชักเกร็งตาค้างจนแทบมองไม่เห็นตาดำ มีเลือดไหลออกมาจากหูด้านซ้าย และแผลที่ศรีษะไหลนองเต็มไปหมด เธอชักอยู่เพียงครู่ลมหายใจก็หมดลง หนุ่มเรียกให้หนึ่งที่ร้องไห้ด้วยความกลัวมาช่วยกัยยกศพของพราวไปไว้ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ จัดท่าทางให้ดูเหมือนว่าเธอกลิ้งมากระแทกกลับต้นไม้นั้นจนเสียชีวิตไปเอง ตอนนั้นถนนก็เงียบมากไม่มีรถผ่านมาสักคัน หนึ่งกับหนุ่มนั่งเฝ้าศพที่เพิ่งโดนสังหารอยู่เกือบชั่วโมง ก็มีคนผ่านมาเห็นเลยรีบแจ้งกู้ภัยให้มาช่วยเหลือ ตอนที่เจ้าหน้าที่มาถึงศพของพราวก็เริ่มแข็งแล้ว ไม่รู้ว่าด้วยอากาศเย็นจากฝนตกหรือความแค้นที่มีต่อหนึ่งกับหนุ่ม ที่ทำให้ไม่มีใครสามารถปิดตาที่เบิกโพลงของเธอลงได้ เหตุการณ์ในวันนั้นพิมพ์ไล่หนุ่มให้ออกจากบ้านไปเพราะโกรธที่เป็นสาเหตุทำให้พราวตาย โดยมีอานนท์เป็นคนยุอีกเเรง แต่หนุ่มไม่ยอมเพราะบ้านนี้เป็นบ้านของแม่กับพ่อตน คนอื่นที่ใช้มารยาหลอกล่อเอามาไม่ควรได้เสพสุข จึงยอมไม่เรียนหนังสือและไปทำงานที่โรงฆ่าสัตว์แบบเต็มตัว จากเดิมที่ไปทำแค่เฉพาะเวลาหยุดเรียนเท่านั้น หนึ่งคิดว่าโรงฆ่าสัตว์นี่แหละที่ทำให้หนุ่มมีจิตใจที่โหดเหี้ยมขึ้น หนุ่มเคยเล่าให้หนึ่งฟังว่าตนได้เรียนรู้ทักษะการตีศรีษะจากการฆ่าวัว ว่าตีตรงไหนจะตายตีตรงไหนแค่สลบ ตีตรงไหนให้เจ็บหนัก เหยื่อ2รายสุดท้ายที่หนุ่มลงมือคือ นนท์กับพิมพ์ ในทุกวันศุกร์สิ้นเดือนของทุกเดือน พิมพ์กับนนท์จะขายของดีเป็นพิเศษ และยิ่งขายของดีนนท์กับพิมพ์ก็จะยิ่งเพลียและนอนหลับลึก แต่สำหรับหนุ่มแค่หลับแบบปกติคงไม่พอ หนุ่มแอบใส่ยานอนหลับลงในกับข้าวที่นนท์กับพิมพ์กินเป็นอาหารเย็น และบอกให้หนึ่งกินข้าวเพียงแค่นิดเดียว หนึ่งรู้ดีว่าหนุ่มคงจะทำอะไรสักอย่างแน่ๆ แต่ก็เลือกที่จะไม่ห้าม เพราะรู้ว่าคงห้ามไม่ได้ อีกใจก็หวังว่าหากไม่มีพิมพ์กับนนท์แล้วตนอาจจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หลายๆเหตุผลในหัวทำให้หนึ่งแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น พอพิมพ์กับนนท์นอนหลับ หนึ่งก็เริ่มใจคอไม่ค่อยดีนั่งรออยู่จนดึกยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น หนึ่งเลยงีบหลับไป พอตื่นมาเห็นว่าไฟกำลังไหม้บ้านหนึ่งก็ตกใจมากคิดว่าครั้งนี้ตนก็คงจะไม่รอด จนไปฟื้นอีกทีที่โรงพยาบาล น้าแก้วเล่าให้ฟังว่าหนุ่มเป็นคนช่วยชีวิตตนไว้ แต่ความจริงแล้วคืนนั้นหนึ่งกลัวจนสติแตก หนุ่มกลัวว่าชาวบ้านจะจับได้เลยจำเป็นต้องตีหัวให้หนึ่งสลบไป พอจบจากงานศพของพิมพ์ แก้วจะพาหนึ่งกลับไปที่กรุงเทพ แต่หนึ่งขอกลับมาเก็บของที่บ้านก่อน ของที่หนึ่งกลับมาเอาก็คือกล่องคุกกี้ที่มีรูปของพ่อ แม่ น้าแก้ว ส่วนเชือกที่ต้นเห็นคือเชือกส่วนหนึ่งที่พอใช้ผูกคอตาย แม่กุญแจก็คือกุญแจที่หนุ่มล็อคห้องของพิมพ์กับนนท์เอาไว้ในคืนที่ดกิดเหตุ มันยังติดกับประตูอยู่แม้ว่าประตูจะพังลงมาแล้วก็ตาม หนึ่งเลือกที่จะเก็บหลักฐานชิ้นนี้ไปเพราะกลัวว่าจะมีคนอื่นมาเห็น ต้นได้ฟังเรื่องราวจากหนึ่งแล้วก็นิ่งเงียบไปไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้หญิงตัวเล็กๆที่อยู่ข้างๆกันมาจะผ่านเรื่องราวมากมายขนาดนี้ “ต้น ถ้าต้นจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนที่ดีกว่าหนึ่ง หนึ่งก็ไม่โกรธนะ” หนึ่งพูดใบหน้าไร้น้ำตา เธอรู้สึกว่าต้นเป็นคนดีเกินไปจริงๆ “คุณคะ หมอขอคุยกับญาติคนไข้หน่อยค่ะ” ต้นยังไม่ทันได้ตอบอะไร ก็มีพยาบาลมาเรียกเสียก่อน “หนึ่งรอต้นตรงนี้นะ เดี๋ยวต้นกลับมา”ต้นเดินตามพยาบาลไปพบหมอ หมอบอกว่าหนึ่งได้รับการกระแทกอย่างรุนแรงที่บริเวณเอว ทำให้เธอเป็นอัมพาต เธอจะไม่สามารถขยับตัวได้ตั้งแต่เอวลงไปสุดจนปลายขา ต้นได้ยินแบบนั้นถึงกับหน้าชา มืดแปดด้านไปหมด แค่เรื่องตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อกับชีวิตคู่ก็ยากแล้ว ยังมาเจอเรื่องแบบนี้อีก เมื่อฟังอาการของหนึ่งจากหมอเสร็จ ต้นเดินกลับไปหาหนึ่งที่เตียง เห็นตำรวจกำลังยืนคุยกับหนึ่งอยู่ เลยรออยู่ห่างๆ “ผมคุยกับคุณหนึ่งแล้ว คุณหนึ่งบอกว่าเธอเป็นน้องสาวจองพระหนุ่มจริง พร้อมกับเล่าเรื่องราวในอดีตให้ผมฟังหมดแล้ว เธออาจจะต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันปิดบังอำพรางศพของนางสาวพริบพราวเมื่อหลายปีก่อน” ตำรวจบอกกับต้นหลังจากที่คุยกับหนึ่งเสร็จ ยิ่งได้ฟังต้นยิ่งรู้สึกหนักอึ้งไปหมด จึงเปลี่ยนใจแทนที่จะไปหาหนึ่งเป็นไปนั่งที่ราวระเบียงเล็กที่โรงพยาบาล ต้นนั่งก้มหน้าน้ำตาไหลลงมาเบาๆ ต้นใช้มือหมุนแหวนแต่งงานวนไปวนมา “ต้นจะดูแลหนึ่งให้ดีกว่าที่น้าแก้วทำ” จู่ๆประโยคนี้ก็วนเวียนอยู่ในหัว ต้นเช็ดน้ำตาและตัดสินใจแล้วว่าจะทำให้ได้ตามคำสัญญา ต้นเดินไปบอกอาการของหนึ่งให้เจ้าตัวได้รับรู้รวมถึงเรื่องของคดีความด้วย หนึ่งได้ฟังเช่นนั้นน้ำตาก็รินไหล ต้นดึงตัวหนึ่งเข้ามากอดแล้วบอกกับหนึ่งว่า “หนึ่ง หนึ่งจำได้ใช่มั้ยต้นเคยบอกว่าต้นจะดูแลหนึ่งให้ดีกว่าที่น้าแก้วทำ ต้นยังจะรักษาสัญญานั้นนะ” หนึ่งถูกดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันปิดบังซ้อนเร้นอำพรางศพตามที่ตำรวจบอกไว้ในตอนแรก แต่ในขณะที่ก่อเหตุเธอยังเป็นผู้เยาว์และในตอนนี้เธอเป็นบุคคลทุพคลภาพจึงได้รับการยกเว้นจากการจองจำ ส่วนหนุ่มที่นอนเป็นเจ้าชายนิทราถึงสมองไม่สั่งการแต่ดูเหมือนวิญญาณของหนุ่มจะถูกกักขังอยู่ในร่างนั้น ตำรวจไม่อนุญาตให้หนุ่มออกมารักษาอาการนอกโรงพยาบาล เพราะถือเป็นบุคคลอันตราย หลายครั้งที่หนึ่งไปเยี่ยมหนุ่มจะเห็นว่าหนุ่มมีน้ำตาไหล พยาบาลบอกว่าเมื่อไหร่ที่หนุ่มน้ำตาไหลไม่กี่ชั่วโมงก็มักจะมีคนเสียชีวิต ราวกับว่าหนุ่มได้ยินเสียงโหยหวนจากวิญญาณเหล่านั้น หนุ่มรักษาตัวอยู่เพียงไม่ถึงปีก็เสียชีวิตลง หนึ่งและต้นจัดงานศพให้หนุ่มอย่างเรียบง่ายที่บ้านเกิด เมื่อหมดคนให้ห่วงแล้วต้นพาหนึ่งไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ลำพูน บ้านเกิดของต้นถึงชีวิตคู่ของหนึ่งไม่มีความสุขอย่างที่เคยหวังไว้ แต่สำหรับหนึ่งการที่มีใครสักคนยอมรับด้านที่มืดมนที่สุดที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นในใจของเธอได้ ก็ดีที่สุดแล้ว จบบริบูรณ์