เมื่อประมาณ 30-40 ปีที่แล้ว สมัยที่แม่ยังเป็นเด็ก แม่เล่าให้ฟังว่ามีคนแก่ในหมู่บ้านอยู่คนหนึ่ง แกเป็นคนขี้เล่น ร่างกายแกก้แข็งแรง รูปร่างแกสูงใหญ่ ผิวคล้ำตามภาษาชาวบ้านทำไร่ทำนา ความจริงบ้านของแกอยู่ติดกับวัด แต่ตอนที่แกยังมีชีวิตอยู่แกชอบไปนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ที่สวนของแกมากกว่า สวนของแกอยู่ไกลจากวัดมาประมาณ 7-8 ร้อยเมตรเท่านั้น ซึ่งเวลาที่แม่ไปโรงเรียนจะต้องเดินผ่านสวนของแกเป็นประจำ ตอนที่แกยังมีชีวิตอยู่ แกจะถามไถ่ หยอกล้อเด็กๆที่เดินผ่านสวนแกเป็นประจำ เวลามีผลไม้ที่พอกินได้แกก็จะให้เด็กๆไปกิน ถือว่าเป็นคนรวยที่ใจดีมากๆคนนึงของหมู่บ้าน
จนกระทั่งแกมาเสียชีวิตลง คนสมัยก่อนเรียกว่าการเป็นลมตาย ทุกวันนี้ก็คงเป็นหัวใจวายเฉียบพลัน ตอนที่ไปเจอศพแกก็เย็นมากแล้ว สภาพก็คือแกนอนคว่ำหน้าอยู่ใกล้ๆกับต้นมะไฟในสวน ตัวแกแข็งทื่อ ร่างกายเย็นเฉียบ มือยังกุมที่หน้าอกข้างซ้าย มีมดไต่ตามตัวแกเล็กน้อย ก็นำไปประกอบพิธีศพตามปกติ คืนแรกที่พระสวดอภิธรรม ลูกสาวคนเล็กของแกไม่ได้ไปด้วยเพราะยังเป็นแม่ลูกอ่อนต้องอยู่ไฟ แต่ขณะที่พระกำลังสวดจู่ๆแม่ลูกอ่อนคนนั้นอุ้มลูกแดงๆขึ้นศาลาวัดมา แกยังใส่ผ้าถุงเสื้อคอกระเช้าอยู่เลย แกเล่าให้คนที่มาร่วมงานฟังว่า พ่อแกมาหยอกหลานน้อย ลูกแกนอนๆอยู่ก็ตื่นมาเล่น นอนยิ้มหัวเราะอยู่คนเดียว แกเลยพูดลอยๆไปว่า “พ่อไปสบายเถอะไม่ต้องห่วงลูกห่วงหลานทางนี้หรอก”
ลูกแกก็หยุดยิ้มหยุดหัวเราะ แต่กลับมีเสียง
“ปัง ปัง ปัง” ที่ฝาผนังของบ้านคล้ายๆกับมีคนเอามือมาตบๆ
แกเลยเงียบไม่พูดอะไรเพราะรู้อยู่แล้วว่าพ่อแกคงมาแกล้งตามภาษาคนขี้แกล้ง สักพักเทียนที่แกจุดเอาไว้ เพื่อให้แสงสว่างก็ดับลงทั้งๆที่ลมก็ไม่ได้พัดเลยสักน้อย แกก็เลยไปจุดใหม่ ยังไม่ทันได้วางก้านไม้ขีดเลย
“พรึ่บ" ไฟก็ดับลงไปอีก แกสัมผัสได้ถึงลมเบาๆคล้ายๆกับมาคนใช้มือพัดให้เทียนดับ แกเลยจุดไม้ขีดอีกด้าน พอไฟสว่างวาบขึ้นแกเห็นหน้าของพ่อแกลอยอยู่ใกล้ๆ เท่านั้นแหละควานหาลูกได้ก็รีบดิ่งมาที่วัดเลย นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความเฮี้ยน
ในระหว่างพิธีศพก็มีเหตุการณ์แปลกๆหลายอย่าง เช่นจู่ๆก็มีนกฮูกบินขึ้นศาลามา แล้วไปเกาะอยู่ที่โรงศพของแก ไล่ยังไงก็ไม่ไป ตอนจะเอาศพไปฝัง(ที่ฝังเพราะถือว่าแกตายโหง) กลับยกโลงศพไม่ได้ทั้งที่ใช้ชายฉกรรจ์ถึง 4 คน ชายทั้ง4คนนั้นพูดตรงกันว่าโลงแกหนักมากๆ เมียแกเลยแกล้งพูดว่าหรือจะเผาเลย เท่านั้นแหละยกขึ้นเลย สรุปศพแกเลยเผาเลย ไม่ได้ฝัง หลังจากงานศพแกชาวบ้านหรือนักเรียนที่เดินผ่านสวนแก ถ้าเผลอเหลือบเข้าไปมองในสวน ก็จะเจอแกกวาดพื้นสวนอยู่เป็นประจำ หนักๆหน่อยก็คงจะเป็นพี่ชายคนโตของแม่ แกเพิ่งเรียนจบป.6 ก็ช่วยตากับยายทำมาหากินด้วยการปั่นจักรยานขายไอติมตัด พอแกผ่านตรงสวนนั้นแกได้ยินเสียงคนเรียก
“หนุ่มๆ” ด้วยความที่เป็นกลางวันแสกๆ แกก็นึกไม่ถึงว่าผีจะหลอก แกเลยมองขึ้นไปตามเสียงเห็นคุณตาเจ้าของสวนผู้ล่วงลับไปแล้วนั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาริมถนน เท่านั้นแหละแกรีบปั่นมุ่งหน้าไปวัดแบบที่ลืมไปเลยว่ามีถังไอติมหนักๆอยู่ด้านหลัง ชาวบ้านแถวนั้นบอกว่าถึงแกจะป่วยตายแต่การตายแบบเฉียบพลันไม่ได้มีการสั่งเสียดูใจลักษณะนั้น คนโบราณเค้าถือว่าเป็นการตายโหง จึงเป็นธรรมดาที่วิญญาณจะเฮี้ยนในช่วงแรกๆ แต่ปรากฏว่าเปล่าเลยเพราะถึงแม้เวลาจะล่วงเลยมาถึง 20 กว่าปีไปแล้ว ชาวบ้านก็ยังเจอวิญญาณของแกอยู่เรื่อยๆทั้งที่บ้านและที่สวน มีป้าแก่ๆอยู่คนนึงแกเดินผ่านสวนนั้น แล้วเห็นเห็ดขึ้นขาวโพลนอยู่ด้านใน ด้วยความอยากได้ และคิดว่าคุณตาแกเสียไปก็นานแล้ววิญญาณคงไปผุดไปเกิดแล้ว แกจึงก้าวล้ำอาณาเขตของสวน ที่มีรัวไม้ไผ่กั้นเอาไว้เข้าไป ด้วยความที่แกไม่ได้เตรียมอะไรไปเลย แกเลยนั่งยองๆ ดึงชายผ้าถุงขึ้นให้มีลักษณะคล้ายไปกับกระบะ เก็บเห็ดที่ละดอก สองดอกใส่ไปเรื่อยๆเก็บไปเก็บมาแกก็เห็นเท้าคน ยืนอยู่ด้านหน้าใกล้ๆ เท้านั้นมีลักษณะคือยาวและใหญ่ มองสูงขึ้นมาอีกนิดเห็นชายผ้าโสร่งสีแดงตัดกับผิวคล้ำๆ แกเลยตัดสินใจเงยหน้าดูเห็นคุณตาซึ่งแกก็รู้จักดี ก้มตัวลงมามองหน้าแกใกล้ๆ เท่านั้นแหละ เห็ดในผ้าถุงกระจายไปคนละทิศละทาง แกรีบวิ่งออกมาปีนรั้วหนี หนามไม้ไผ่ที่ใช้ทำรั้วเกี่ยวชายผ้าถุงแกหลุดหลุ่ยหมด แกบอกได้ยินเสียงหัวเราะของคุณตาดังลั่น ถึงคุณตาจะไม่ได้แลบลิ้นปริ้นตาหลอก แต่ด้วยลักษณะที่เป็นคนตัวสูงใหญ่ และผิวคล้ำใครที่พบเจอวิญญาณของแกก็มักจะหลอนกันเป็นแทบๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ 40 ปีผ่านมาแล้ว สวนของแกขนาดประมาณ 2 ไร่ยังคงสภาพสมบูรณ์ ไม่มีต้นไม้ต้นไหนถูกตัด ส่วนที่ขึ้นมาเพิ่มเป็นการเกิดแบบธรรมชาติ เพิงที่แกใช้พักพิงเวลามาทำสวนก็ยังคงอยู่ในสภาพดีเหมือนมีคนมาดูแลตลอด ทั้งๆที่ลูกหลานแกไม่มีใครเลยที่กล้าเข้าไปหยุ่มหย่ามที่สวนนั้น ล่าสุดสงกรานต์ที่ผ่านมา ทางวัดประกาศว่าลูกหลานของแกยกที่ดินพื้นนั้นบริจาคให้กับวัดไปแล้ว เพราะไม่มีใครกล้าไปอยู่เลยสักคน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น