บทความส่วนใหญ่ เป็นนิยาย เรื่องสั้น เรื่องเล่า มีทั้งอ้างอิงจากเค้าโครงเรื่องจริง และเรื่องแต่งขึ้นเอง

Tadee story/ล็อคเกอร์มือสอง ตอน 1



หลังจากที่อบรมเรื่องกฎระเบียบและรายละเอียดของบริษัทมาทั้งวัน พอถึงตอนเย็นพี่จากแผนก HR ก็มาแจกกุญแจล็อคเกอร์สำหรับไว้เก็บเสื้อผ้าที่ต้องเปลี่ยนจากชุดลำลองเป็นยูนิฟอร์มให้กับทุกคน ลูกกุญแจของคนอื่นๆมีที่ห้อยเป็นตุ๊กตาบ้าง ป้ายชื่อบ้างคละๆกันไป มีเพียงของฉันกับเพื่อนๆอีก2-3คนที่ลูกกุญแจคล้องด้วยด้ายแดงๆเท่านั้น
“โฮ!สงสัยของน้ำฝนต้องเป็นล็อคเกอร์ใหม่แน่เลย”
เพื่อนที่เข้ารุ่นเดียวกันคนนึงเอ่ยขึ้นพร้อมกับหมุนๆดูลูกกุญแจในมือเรา
“น่าจะใช่แหละ”ฉันเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองๆดูลูกกุญแจใหม่กริ๊กในมือ
เมื่อมาถึงห้องล็อกเกอร์ทุกคนต่างหาล๊อคเกอร์ที่ตรงกับหมายเลขลูกกุญแจที่ตนได้รับ แถวในสุดจนถึงแถวกลางๆจะเป็นล็อคเกอร์เก่า แถวนอกสุดจะมีล็อคเกอร์ใหม่วางอยู่แถวเดียว เรากับเพื่อนๆพี่ๆอีก 2-3 คน ที่ได้ลูกกุญแจใหม่เหมือนกันตรงไปที่ล็อคเกอร์แถวนอกสุดเพื่อหาล็อคเกอร์ขิงตัวเอง คนอื่นๆทยอยหาล็อคเกอร์ของตัวเองเจอ หรือเพียงเราที่ยังหาไม่เจอ
“น้ำฝนยังไม่เจอล็อคเกอร์หรอ” พี่HRถามขึ้น คงเพราะเห็นเราเดินวนไปวนมา หลายรอบ
“ใช่ค่ะ แถวนี้มีแต่รหัสที่ขึ้นต้นด้วย H กับ J แต่ล็อคเกอร์ใหม่ก็มีแค่แถวนี้นะคะ”
“ไหนๆ พี่ขอดูหน่อย” พี่HRขอดูรหัสที่ลูกกุญแจของเรา
“B24 อ๋อนี่ไม่ใช่ล็อคเกอร์ใหม่หรอก แถว B อยู่นี่ตามพี่มา” HR คนเดิมพูดพร้อมกับเดินนำไปด้านในสุดของห้อง โดยมีเราเดินตามไปติดๆ นู้นนะตู้รองสุดท้าย
“อ๋อค่ะ ขอบคุณค่ะ” ฉันรีบเดินไปที่ตู้ล็อคเกอร์ของตัวเอง พอไปถึงก็เสียบลูกกุญแจเพื่อไขแม่กุญแจ จากที่สังเกตดูก็เห็นว่าแม่กุญแจก็ใหม่กริ๊บเช่นกัน
แปลกจังล็อคเกอร์เก่าทำไมต้องเปลี่ยนกุญแจด้วย ฉันคิดในใจ แต่ช่างเถอะแค่นี้ก็ช้ากว่าคนอื่นๆมาก แล้ว  รีบๆเปิดแล้วเอารองเท้ากับชุดที่เพิ่งได้รับแจกมาเก็บไว้ดีกว่า
"พรึ่บ ฮืมกลิ่นไรเนี่ย แค่กๆ” ฉันเผลออุทานพร้อมทำจมูกฟุดฟิดทันทีหลังจากที่เปิดล็อคเกอร์ขึ้นมาแล้วได้กลิ่นสารเคมีซึ่งแรงมากๆ กลิ่นคล้ายๆฟอร์มาลีน 
“เป็นอะไรหรือเปล่าน้ำฝน” พี่พลอยคนที่ได้ล็อคเกอร์ในแถวเดียวกันแต่ห่างออกไปหลายตู้ เอ่ยถามด้วยความสงสัยในท่าทางของเรา
“กลิ่นอะไรไม่รู้อ่ะพี่เหม็นมากๆเลย” เราตอบพร้อมกับเอามือขึ้นปัดๆที่จมูก พี่พลอยจึงเดินตรงมาที่เรา คงหวังจะมาดู
“เสร็จกันรึยังคะ พี่จะพาไปสอนสแกนนิ้ว เดี๋ยวพนักงานเลิกแล้วคนจะเยอะ” พี่ HR ตะโกนถามพนักงานใหม่ทุกคน
“เสร็จแล้วค่ะ”ฉันรีบยัดเสื้อผ้าเข้าไปในตู้พร้อมกับรีบปิดประตู
“ไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวโดนดุ” ฉันรีบเดินออกจากตรงนั้นแล้วจูงแขนพี่พลอยออกมาด้วย หลังจากออกมาจากล็อคเกอร์ HR พาเราไปดูที่ตั้งของเครื่องสแกนนิ้วเพื่อบันทึกเวลาเข้าออกการทำงาน ระหว่างทางที่เดินไปพี่พลอยก็ถามขึ้นว่า
“น้ำฝนได้กลิ่นอะไรที่ล็อคเกอร์เหรอ”
“กลิ่นมันแปลกๆอ่ะค่ะ คล้ายๆกับฟอร์มาลีน”
“พี่ก็ได้กลิ่นคล้ายๆ ซากศพ พี่ว่าล็อคเกอร์มันดูมืดๆน่ากลัวๆเนอะ”
“เฮ้ย คงไม่ใช่มั้งคะ น่าจะเป็นสารเคมีที่เค้าใช้ผลิตงานแล้วเอามาเก็บไว้รึเปล่า” เราแย้งไปเพราะกลิ่นที่เราได้รับไม่ใกล้เคียงกับซากศพเลย แต่เป็นกลิ่นสารเคมีที่น่าจะมีความเข้มข้นสูงมากๆ มากกว่า
“ถ้าแค่นั้นก็ดีอยู่หรอก” พี่พลอยพูดทำหน้าแหย่
             หลังจากที่ทางฝ่าย HR  อธิบายวิธีการใช้เครื่องสแกนและเก็บรายนิ้วมือของพวกเราครบทุกคนแล้ว ก็ถึงเวลากลับบ้านได้ เราเอาชุดที่ได้รับแจกใส่กระเป๋ากลับบ้านไปหนึ่งชุด เมื่อกลับถึงบ้านเราก็จัดการซักและรีดชุดที่ได้รับมาเตรียมไว้ใส่ในวันพรุ่งนี้และทั้งอาทิตย์นี้  ก็จะเข้านอนอย่างรวดเร็วเพื่อตื่นไปทำงานแต่เช้าในวันพรุ่งนี้ 
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ดๆ”เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือที่เราตั้งไว้ดังลั่นห้อง
“ตีห้าห้าสิบ ดังกี่รอบแล้วเนี่ย” ฉันบ่นเบาๆกับตัวเอง ให้ตายเถอะอุตสาห์ตั้งเวลาไว้ ตีห้าครึ่งกลับตื่นสายไปเกือบ 20นาที ฉันรีบดีดตัวขึ้นจากที่นอนไปอาบน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน  สระผม ก็ใช้เวลาร่วมๆครึ่งชั่วโมง พอออกมาจากห้องน้ำก็จัดการแต่งเนื้อแต่งตัวฉันหยิบเอาชุดนักศึกษาขึ้นมาสวมแบบเต็มยศ รวบเอาชุดพนักงานที่ที่รีดไว้สะเรียบใส่ลงในกระเป๋าเป้  เสร็จแล้วก็เอาพัดลมมาเป่าที่ผม ทาครีม แป้งฝุ่น ลิปมันเท่านี้ก็เรียบร้อย  ฉันเดินลงมาจากห้องนอนด้วยสภาพผมเปียกหมาดๆพร้อมกับเป้ใบเก่ง
“เอ้า ไปแต่เช้าเลยหรอฝน” แม่เอ่ยทักเรา
“จ่ะ ฝึกงานแค่ 4 เดือนเอง ฝนอยากทำให้เต็มที่อ่ะแม่”
“ยังไงก็กินข้าวก่อน นี่แม่เตรียมให้แล้ว ไม่ต้องกลัวจะสายนะแม่เรียกรถมอไซด์ไว้ให้แล้ว เค้ามา 7 โมง”
ฉันเหลือบไปดูนาฬิกาเป็นเวลา หกโมงสี่สิบห้า ยังพอมีเวลา เลยนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว วันนี้มีผัดฟักทองใส่ไข่กับหมูทอดของโปรดฉันเอง กินกับข้าวร้อนๆอร่อยเหาะ
“นี่แม่ตื่นมาทำกับข้าวให้หนูตั้งแต่หนูเริ่มไปโรงเรียนจนถึงวันนี้    มีวันไหนสายบ้างมั้ย” ฉันถามด้วยความสงสัยเพราะตั้งแต่จำความได้ฉันก็เห็นแม่ตื่นมาทำกับข้าวเช้าให้ฉันได้ตลอด
“ก็มีสายนะ แต่ฝนคงไม่รู้หรอก เพราะฝนน่ะสายกว่าแม่ทุกวัน ฮ่าฮ่าฮ่า” แม่พูดไปขำไป ฉันเลยมองค้อนไปทีนึง แล้วกินข้าวต่อ แต่ก็จริงของแม่ยิ่งตอนเรียนมหาวิทยาลัยถ้าเรียนบ่ายฉันก็ตื่นเกือบเที่ยงแล้ว กินอิ่มก็เกือบเจ็ดโมงพี่วินที่แม่เรียกไว้ก็มาพอดี
“ปริ๊นๆๆ” เสียงพี่วินที่มารอบีบแตร์ส่งสัญญาณเรียก ฉันรีบลุกจากโต๊ะ สะพายกระเป๋า พร้อมกับสวัสดีแม่เหมือนทุกๆครั้งที่ออกจากบ้าน
“ไปบริษัท PMS ค่ะรู้จักใช่มั้ยคะ” ฉันบอกจุดหมายปลายทางให้พี่วินฟัง
“รู้จักๆ ขึ้นเลย” ฉันกระโดดตุ๊บขึ้นมานั่งซ้อนท้ายพี่วินพร้อมกับสวมหมวกกันน็อคที่พี่เค้าส่งให้ ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาทีฉันก็มาถึงบริษัท ด้วยค่าโดยสารเพียง 20 บาท  พี่วินจอดส่งฉันห่างจากประตูทางเข้าบริษัทประมาณ 500 เมตร เพราะหน้าบริษัทตรงกับยูเทรินพอดีดังนั้นจึงต้องจอดห่างออกมาหน่อย  ฉันเดินตามฟุตบาทข้างทางมา ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาประมาณ เจ็ดโมงยี่สิบ คนกำลังมาเข้างานเยอะมาก
“เอ๊ะ บัตรพนักงาน” ฉันไม่แน่ใจว่าได้เอาบัตรพนักงานใส่เป้มาด้วยรึเปล่าจึงหยุดกระทันหัน พร้อมกับบิดกระเป๋าจากหลังมาด้านหน้าเพื่อเปิดดู
“ผลั๊ก” มีใครบางคนชนฉันเข้าเต็มแรงฉันเซไปด้านหน้าจนเกือบล้ม ก่อนจะรีบกลับหลังหันมาดูว่าใครกันที่ชนฉัน
“อุ้ย” ฉันอุทานด้วยความตกใจ เพราะการที่ฉันหันกลับไปเกือบจะชนเขาเข้าอีกรอบ
“ขอโทษค่ะ” ฉันรีบเอ่ยคำขอโทษ แม่เคยสอนไว้ว่าคำทักทาย คำขอโทษ คำขอบคุณ เป็นถ้อยคำวิเศษ  เพราะไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนหากเราหยิบคำเหล่านี้ขึ้นมาพูดได้อย่างถูกต้อง คู่สนทนาของเราจะรู้สึกดีขึ้นจากเดิมไม่มากก็น้อย ฉันใช้มันและได้ผลมาโดยตลอด แต่คงไม่ใช่กับครั้งนี้


“ขอโทษจริงๆค่ะพอดีไม่ทันได้ดูว่ามีคนเดินตามมา” ฉันพยายามขอโทษซ้ำพร้อมยกมือไหว้ เมื่อเห็นว่าชายที่เป็นคู่กรณียังยืนหน้าตึงอยู่ตรงหน้า แถมชุดพนักงานของเขายังตกลงพื้น จนเปื้อนไปหมด
“อืม พี่รู้แล้วว่าไม่ได้ดู เพราะถ้าน้องดูคงไม่เป็นแบบนี้” เขาคนนั้นที่ดูท่าทางคงแก่กว่าฉันสัก 4-5 ปีตอบรับคำขอโทษแกมดุฉันไปด้วย
“ชุดพี่เปื้อนเลยนะคะ เอาของหนูไปใส่มั้ย”ฉันพูดพร้อมรีบหยิบชุดพนักงานออกจากกระเป๋า
“ฮึๆ ไม่ต้องอ่ะพี่มีหลายชุด แล้วทำไมใส่ชุดนักศึกษามาทำงานเนี่ย คิดไรอยู่”เค้าถามพร้อมทำหน้างงๆ
“อ๋อฝนเป็นนักศึกษาฝึกงานค่ะ วันนี้เพิ่งเริ่มงานวันแรกค่ะ ”
“ฝึกงาน เค้าก็ไม่ใส่กันหรอก” พี่ชายคนนั้นพูดเบาๆแต่ฉันบังเอิญได้ยิน
ใส่ชุดนักศึกษามาฝึกงานก็ถูกแล้วนิแปลกตรงไหนฉันคิดในใจ  พร้อมกับก้มลงปิดกระเป๋า เงยหน้ามาอีกทีเค้าก็เดินห่างออกไปเสียแล้ว ฉันเลยเดินตามไปห่างๆ
“ขอดูบัตรด้วยครับ” ยามที่ทำหน้าที่ตรวจบัตรพนักงานพูดกับฉัน
“อ๋อบัตร ค่ะๆ” ฉันรีบเปิดกระเป๋าค้นหาบัตรพนักงาน แต่ปรากฏว่าไม่มี ไม่มีจริงๆด้วย เฮ้อทำไมถึงขี้ลืมขนาดนี้
“พี่คะสงสัยหนูจะลืมอ่ะค่ะ” เราตอบพี่ยามพร้อมทำหน้าเจื่อนๆ
“แล้วรู้จักใครบ้างมั้ยในโรงงานเนี่ย” ยามถาม
“หนูเพิ่งเริ่มงานอ่ะค่ะ ก็รู้จักเพื่อนที่มาเริ่มงานพร้อมกัน กับพี่ HR ค่ะ”
“อ๋อ HR น่าจะเป็นคุณนกนะ งั้นนั่งรอตรงนั้นน่ะ คุณนกเค้ามาสายๆเดี๋ยวให้เค้าเซ็นต์ผ่านให้” ยามพูดพร้อมชี้มือให้ชั้นไปนั่งตรงมานั่งข้างๆป้อมยาม ฉันรอจนเกือบจะ 8 โมง คุณนกฝ่ายบุคคลเพิ่งจะมาเซ็นต์ผ่านให้ ฉันจึงได้เข้าบริษัทมา ฉันรีบตรงดิ่งไปที่ห้องล็อคเกอร์ เอาผ้าถุงขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า คนในล็อคเกอร์มีนิดหน่อยคงเป็นเพราะสายมากแล้ว เมื่อเปลี่ยนเป็นยูนิฟอร์มเรียบร้อย ฉันก็เปิดล็อคเกอร์ออกเพื่อนำชุดนักศึกษาที่ถอดออกไปเก็บแทน ทันทีที่เปิดออกกลิ่นมันก็ยังเหมือนเดิม แปลกมากตอนปิดล็อคเกอร์แถบไม่ได้กลิ่นพอเปิดเท่านั้นแหละกลิ่นตลบอบอวล ราวกับต้นกำเนิดกลิ่นอยู่ในล็อคเกอร์ของฉัน แต่ช่างเถอะอยู่ๆไปคงจะชิน ฉันเก็บเสื้อผ้าเรียบร้อย แต่ขณะที่กำลังจะปิดตู้ตาของฉันก็เหลือบไปเห็นสติ๊กเกอร์เก่าๆที่ติดอยู่ตรงประตู
เขียนด้วยหมึกแดงๆว่า “สวัสดีค่ะ” มันเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันอมยิ้มได้ คำทักทายมันมหัศจรรย์อย่างที่แม่บอกจริงๆด้วย
“สวัสดีค่ะ” ฉันตอบข้อความในสติ๊กเกอร์นั้นเบาๆ ก่อนจะปิดมันลง
แล้วรีบขึ้นไปที่ห้องประชุมชั้น 2 ตามที่ฝ่ายบุคคลนัดเอาไว้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น