บทความส่วนใหญ่ เป็นนิยาย เรื่องสั้น เรื่องเล่า มีทั้งอ้างอิงจากเค้าโครงเรื่องจริง และเรื่องแต่งขึ้นเอง

Tadeestory/ผู้รอดชีวิต 6 (มีต่อ)



ต้นขับรถออกจากวัดมุ่งหน้ากลับไปพักผ่อนที่หอ  ฝนเริ่มตกรินๆแล้วหนักขึ้นเรื่อยๆ ขับมาสักพัก ต้นเห็นเด็กผู้หญิงใส่ชุดนักเรียน ยืนหลบฝนอยู่ตรงต้นไม้ใหญ่ริมถนน ต้นเกรงว่าเธอจะได้รับอันตรายเพราะบริเวณนั้นเป็นโค้งหักศอกด้วย ต้นขับรถเลยโค้งออกมาหน่อยแล้วจอดรถบริเวณไหล่ทาง เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินเพื่อเป็นสัญญานให้รถคันอื่น
ต้นเอื้อมมือไปหยิบร่มที่เบาะด้านหลังคนขับ แล้วเดินลงจากรถหวังว่าจะไปส่งน้องเค้าที่บ้าน พอเดินไปถึงต้นไม้ใหญ่ ต้นกลับไม่พบใคร พยายามมองหาทั้งบนถนน และบริเวณรอบๆก็ไม่มีแม้แต่หมาสักตัว สร้างความประหลาดใจให้ต้นเป็นอย่างมาก แถวนั้นไม่มีบ้านคน สองข้างทางเป็นป่าสลับกับทุ่งนาน้องจะไปไหนได้ แต่เอาเถอะเมื่อไม่เจอใคร ต้นเลยกลับไปขึ้นรถ ทันทีที่เปิดรถ ต้นถึงกับต้องผงะ เพราะในรถมีกลิ่นสาบอย่างรุนแรง
“ฮืม กลิ่นไรว่ะเนี่ย”ต้นบ่นกับตัวเอง ต้นปรับน้ำหอมปรับอากาศเป็นเบอร์แรงที่สุดเพื่อปรับสภาพอากาศในรถ ใช้เวลาครู่เดียวก็ถึงหอ
ยามที่หอมาเปิดรั้วกั้นให้ตามหน้าที่  แต่ที่ผิดปกติคือยามมองที่เบาะข้างคนขับแล้วยิ้มแบบมีเรศนัย พอรถต้นขับห่างออกไป ยามพูดกับเพื่อนยามอีกคนแบบขำๆว่า
“เห็นหน้าหงิมๆ มาวันแรกล่อนักเรียนซะแล้วเว้ย”
“เห้ยอาจจะเป็นน้องเค้าก็ได้” ยามอีกคนเถียง
“โว๊ะ ไอ่โลกสวยพนันกันมั้ย”
พอต้นจอดรถเสร็จ ยาม2คนที่คิดเห็นต่างกันก็จับตาดูว่าต้นกับนักเรียนสาวจะมีท่าทียังไงต่อกัน รถดับเครื่องได้ครู่เดียว ต้นก็เดินขึ้นหอไป ไร้เงาหญิงสาวในชุดนักเรียน
“เห็นมั้ย ถ้าพี่น้องจริงทำไมไม่ลงไปพร้อมกันว่ะ”
ยามคนแรกกล่าวเกทับเพื่อน ทั้งสองยังเฝ้ามองอยู่นานโข เวลาก็เย็นย่ำค่ำมืดเด็กสาวก็ไม่ปรากฏตัวเสียที
“เค้าทะเลาะกันรึป่าวว่ะ” ยามคนหนึ่งเอ่ยถาม
“นั่นสิว่ะ อยู่ในรถนานขนาดนี้ ไม่ขาดอากาศหายใจตายเหรอว่ะ”
“ข้าว่าเราไปดูกันหน่อยมั้ย”
“จะดีหรอว่ะ” ยามอีกคนทำหน้ากลัวๆ
“มึงจะปล่อยให้น้องเค้าตายเหรอ”พูดจบยามทั้งคู่ตัดสินใจเดินไปที่รถต้น ฟิมล์กระจกค่อนข้างมืด บวกกับท้องฟ้ามืดๆแบบนี้ ยามจึงต้องใช้ไฟฉายส่องเข้าไฟในรถ
“เฮ้ย!” ยามคนที่ถือไฟฉายร้องเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ ทิ้งไฟฉายให้ตกลงพื้น เพราะภาพที่เห็นคือเด็กสาวในชุดนักเรียนนั้นลืมตาเบิกโพรง แต่ไม่มีตาดำ ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด
“อะไรของเอ็งว่ะ อยู่ๆก็มือไม้อ่อน สงสัยโลกสวยด้วยมือเราบ่อย” ยามอีกคนพูดพร้อมกับก้มลงหยิบไฟฉาย ตาเหลือบไปเห็นเท้าที่ใส่รองเท้านักเรียนกับถุงเท้ายืนอยู่อีกฟากของรถ
“นั่นน้องเค้าลงมาแล้ว”ยามคนเดิมพูดต่อ ส่วนอีกคนมัวแต่อึ้งกับภาพที่เห็น ถึงกับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่อ้าปากค้าง
“เห้ยหายไปไหนว่ะ” ยามที่ก้มลงเก็บไฟฉายเมื่อสักครู่ เกาหัวแกรกๆ ที่พอเงยหน้าขึ้นมาไม่เห็นเจ้าของเท้าเมื่อครู่ จึงตัดสินใจก้มลงดูใต้ท้องรถอีกครั้ง
“อร๊ากกกก”ยามถึงกับร้องเสียงหลง กระโดดกอดเพื่อนตัวกลม หันมองหน้ากันด้วยความเข้าใจ น้ำอุ่นๆไหลออกจากเจ้าน้องชาย ลดเป้ากางเกงไปถึงปลายขา ภาพที่เห็นใต้ท้องรถคือเด็กหญิงที่หน้ากับตัวหันไปคนละทาง ดวงตาเหลือกโตผิดมนุษย์มนา ซ้ำยังมีแต่ตาขาว นอนฉีกยิ้มกว้างอยู่ใต้ท้องรถ
“วิ่งสิว่ะ”ยามทั้งคู่พูดพร้อมกันเมื่อตั้งสติได้

ทางด้านต้นก็อาบน้ำอาบท่า โทรหาภรรยาสุดที่รัก เล่าเรื่องเด็กผู้หญิงที่เจอวันนี้ให้ฟัง หนึ่งเลยขอร้องให้ต้นห้อยพระ ที่หนึ่งให้ไป ติดตัวเอาไว้ ถึงต้นจะมองว่าไร้สาระ แต่เพื่อความสบายใจของคนรัก ต้นก็ยอมทำตามที่หนึ่งบอก ซึ่งพระนั้นเป็นพระเกจิของจังหวัดปราจีนบุรี เดิมเณรหนุ่มให้น้าแก้วไว้ พอน้าแก้วเสียชีวิต หนึ่งเลยเก็บเอาไว้ กระทั่งรู้ว่าต้นต้องไปอยู่แปลกที่แปลกทาง จึงมอบให้ต้นไว้รักษาตัว

คืนนั้นต้นนอนหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า แต่ต้องสะดุ้งตื่นกลางดึก เพราะจู่ๆก็รู้สึกเย็นวาบๆที่แผ่นหลัง ขนตามตัวก็ลุกซู่ ต้นเลยพลิกตัวอีกข้าง หันหน้าเข้าหาหน้าต่างกระจกบานใหญ่ เผื่อว่าแอร์อาจจะตกไม่ทั่วถึงทำให้รู้สึกเย็นหลังก็เป็นได้ แต่พอมองรอดผ่านกระจกไปที่ระเบียงที่ว่างเปล่า มีแสงจากเสาไฟลานจอดรถของหอส่องขึ้นมา กลับรู้สึกวังเวงแปลกๆ ต้นจึงลุกขึ้นปิดผ้าม่านและนอนต่ออย่างสบายใจ โดยที่ไม่รู้เลยว่า หลังผ้าม่านและกระจกบางๆ มีดวงวิญญาณบางดวงจับตาดูเค้าอยู่
เวลาในแต่ละวันผ่านไปเรื่อยๆ ต้นเรียนรู้การทำงานกับสถานที่ใหม่ เพื่อนร่วมงานใหม่ ซึ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไปได้ด้วยดี  หนึ่งเองก็เร่งแก้ชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว ที่จองเอาไว้จนปิดได้ครบทุกจ๊อบ ก็เริ่มเก็บข้าวของทั้งเครื่องมือช่างเสริมสวย อุปกรณ์การออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้า ชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวสำหรับเช่า เหลือไว้เพียงตัวตึกและเฟอร์นิเจอร์หนักที่ยกให้คนที่เซ้งร้านต่อ และแล้ววันเดินทางก็มาถึง ต้นจ้างรถบรรทุกหกล้อ เพื่อขนข้าวของสัมภาระของหนึ่ง ส่วนตัวต้นและหนึ่งเดินทางด้วยรถส่วนตัว หนึ่งจัดแจงปิดประตูตึกเรียบร้อย กุญแจอีกชุดฝากไว้กับเจ้าของคนใหม่ เงยหน้าขึ้นมองดูตึกสามชั้นหลังนี้ อย่างสำรวจ  สภาพภายนอกทรุดโทรมลงไปมาก ต่างจากวันแรกที่เธอมาอาศัยซุกหัวนอน เห็นแบบนี้แล้วหนึ่งอดใจหายไม่ได้ น้ำตาค่อยๆไหลออกมา
“หนึ่งขอโทษนะคะน้าแก้ว ขอโทษที่ดูแลสมบัติของน้าไว้ไม่ได้  ขอโทษที่ไม่ฟังคำเตือนของน้า หนึ่งก็ไม่อยากจะกลับไป “
หนึ่งลำพึงลำพันเบาๆ แล้วยกมือขึ้นปาดน้ำตา รวมถึงกลั้นน้ำมูกที่กำลังจะไหล
“หนึ่งหนีพวกเค้าไม่พ้นหรอกค่ะน้าแก้ว  หนึ่งทำใจไว้แล้ว "พูดจบหนึ่งถอนหายใจแล้วสูดลมเข้าไปใหม่เฮือกใหญ่ เพื่อเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง "หนึ่งลานะคะ”
หนึ่งพยายามกลั้นน้ำตา หันหลังเดินขึ้นรถไป แต่มันก็ยังไหลออกมาอยู่ดี
ต้นเห็นแล้วก็อดสะเทือนใจไม่ได้ ยกมือลูบหัวหนึ่งเบาๆ
“ต่อไปนี้ ต้นจะดูแลหนึ่งเอง จะทำให้ดีเท่าน้าแก้ว ต้นสัญญา”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น