บทความส่วนใหญ่ เป็นนิยาย เรื่องสั้น เรื่องเล่า มีทั้งอ้างอิงจากเค้าโครงเรื่องจริง และเรื่องแต่งขึ้นเอง

Tadeestory/ผู้รอดชีวิต 7 (มีต่อ)


รถวิ่งมาเรื่อยๆครู่เดียวก็เข้าเขตจังหวัดปราจีนบุรี หนึ่งมองลอดหน้าต่างรถออกไปด้านนอก หลายอย่างเปลี่ยนไปมาก ปั้มน้ำมันและร้านสะดวกซื้อตามข้างทางก็ผุดขึ้นเยอะราวกับดอกเห็ด
“เดี๋ยวต้นต้องแวะไปเก็บของที่หอก่อนนะ ไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายที่เหลือด้วย”
“ค่ะ”
พอมาถึงที่หอ ต้นลดกระจกลงเพื่อให้ยามเห็นว่าตนคือผู้เช่าหอตามปกติ แต่รออยู่พักหนึ่งยามก็ไม่มาเปิดรั้วกั้นให้เสียที ต้นจึงชะโงกหัวออกไปเรียก”พี่ครับๆ” สิ้นเสียงยามทั้งสองจับมือกันออกมาจากป้อม ท่าทางดูพิลึก คล้ายคนกลัวอะไรสักอย่าง ยามคนหนึ่งเอื้อมมือมาเปิดที่กั้นให้ มือไม้สั่นระรัว ต้นถึงแม้จะแปลกใจ แต่ไม่อยากจะเสียเวลาถาม จึงเคลื่อนรถผ่านเข้าไปในหอ ในขณะที่หนึ่งเริ่มสังหรใจเมื่อเห็นท่าทางของยาม ทั้งคู่ลงจากรถ หนึ่งมองมาที่ป้อมยามก็เห็น ยามทั้งสองมองมาที่รถเช่นกัน แต่พอเห็นว่าหนึ่งมองตนอยู่ก็รีบหลบสายตาแล้วหันหลังไป
ต้นให้หนึ่งรออยู่ที่ล็อบบี้ชั้นล่างสุดของหอ แล้วต้นขึ้นไปเก็บของที่ห้องพักเพียงคนเดียว
“น้องคะ เป็นแฟนคุณต้นเหรอ”พนักงานบริการที่ล๊อบบี้ถาม
“อ๋อ ใช่ค่ะ พี่มีอะไรรึเปล่าคะ”
“คือพี่ก็ไม่อยากพูดให้กลัวอ่ะนะ พี่เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอ่ะ เค้าตามเรากับต้นมา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะ เค้าพยายามตามต้นมาหลายครั้งแล้ว ทำบุญให้เค้าหน่อยก็ดีนะ แต่ถ้าไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรนะ”   
“พี่เห็นเค้าจริงๆเหรอคะ เค้าได้บอกพี่มั้ยว่าเค้าต้องการอะไร” หนึ่งถามเพราะกลัวว่าผีสาวจะบอกความลับที่เธอปิดไว้เป็นสิบๆปีให้คนอื่นฟัง
“โอ้ยใครจะไปคุยกับผีล่ะ พี่ไม่ได้เห็นคนเดียวหรอก คนอื่นเค้าเห็นกันเยอะเเยะ เจ้ายาม2คนนั้นน่ะ เห็นว่าถึงขั้นแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกเลยแหละ” พนักงานพูดพร้อมกับลูบขนแขนตัวเองลง
หนึ่งได้ยินแบบนั้น ค่อยผ่อนลมหายใจลงช้าๆ ไม่ให้คู่สนทนาจับพิรุธได้ ต้นเดินแบกกระเป๋าเป้คู่กายลงมาพอดี
“มีแต่คุณต้นเนี่ยล่ะค่ะ ที่ไม่เคยเจอ”พนักงานยกมือขึ้นมาป้องปากแล้วพูดกับหนึ่งเบาๆ
“หลอกผีเมียผมเหรอครับ555”ต้นหยอกพนักงานสาว
“พี่ไม่ได้หรอกนะคะ เตือนด้วยความหวังดี”
“ถ้าอยากได้รถมือ2 สภาพดีก็บอกผมตรงๆ ผมไม่ขายรถหนีผีหรอกครับ ว่าแต่ค่าเสียหายเท่าไหร่ครับ”
เมื่อต้นจัดการธุระเสร็จ ก็พากันขับรถมุ่งหน้าไปที่บ้านใหม่ ระหว่างทางต้องผ่านต้นไม้ที่ต้นเจอเด็กสาวล่องหน ต้นชี้มือให้หนึ่งดู
“หนึ่งเห็นตรงไม้ตรงโค้งด้านหน้านี้มั้ย  ต้นเจอน้องล่องหนตรงนี้แหละ” ต้นตั้งชื่อให้เด็กหญิงที่หายตัวอย่างรวดเร็ว ว่าน้องล่องหน
“ต้นเค้าไม่ให้ทักคนโบราณเค้าถือ”
หนึ่งดุให้ต้น พร้อมกับหันหน้าไปอีกฝั่งไม่มองตามที่ต้นชี้
“หัวโบราณน่ะเราเนี่ย” ต้นหยอกหนึ่ง
แต่หนึ่งเงียบไป
“นี่ กลัวจริงเหรอ”
“เปล่า หนึ่งแค่ไม่ชอบให้ต้นล้อเล่นแบบนี้”
“ครับ ขอโทษนะ เลยเสาโทรศัพท์นี้ไป ข้างหน้าก็ถึงบ้านแหละ ตื่นเต้นมั้ย”
หนึ่งพยักหน้าตอบเบาๆ รถเลี้ยวเข้ามาจอดบริเวณหน้ารั้ว ต้นลงไปเปิดรั้ว หนึ่งที่รออยู่ในรถมองทะลุผ่านหลังรถ ข้ามไปอีกฝั่งของถนน มีต้นไม้ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แผ่กิ่งก้าน ยื่นลงไปในริมแม่น้ำ มีศาลเพียงตาเล็กๆตั้งอยู่ใต้ต้นไม้นั้น หนึ่งรู้สึกใจหวิวๆ อยู่ๆน้ำตาก็คลอขึ้นมา
“สงสัยรถขนของจะหลงทางแล้วล่ะป่านนี้ยังมาไม่ถึง” ต้นขึ้นรถมาพร้อมกับบ่นๆให้รถขนของ
แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหา
“ฮัลโหล พี่หลงทางเหรอครับ…..ตอนนี้พี่อยู่ไหน…..โอเคๆพี่ยูเทิร์นมานะครับ….” ต้นพยายามบอกทางให้คนขับรถขนของฟัง “ผมยืนรออยู่ทางเข้าบ้านนะครับ” พูดจบต้นลงไปยืนที่ท้ายรถไม่นานรถขนของก็มาถึง
“เมื้อกี้พี่ขับผ่านไปไม่เห็นมีบ้านคน พี่ก็สังเกตสะพานอยู่นะ”
“ไม่เป็นครับพี่รีบขนของเถอะครับเดี๋ยวจะมืดเอา” ขนของเสร็จก็เป็นเวลาบ่ายกว่าๆ เลยเวลาอาหารเที่ยง ต้นรู้สึกหิวจนแสบท้องเลยชวนหนึ่งไปหาอะไรกินกัน ขับรถมาเรื่อยๆผ่านร้านค้าของป้าที่ต้นแวะครั้งก่อนไปไม่ไกล ก็เจอร้านอาหาตามสั่งเล็กๆข้างทาง
“สั่งให้หน่อยนะ ต้นเอาผัดกระเพราหมูไข่เจียว เดี๋ยวต้นไปห้องน้ำก่อน”
หนึ่งจึงต้องเข้าไปในร้านและสั่งอาหารเพียงลำพัง ร้านนี้คงเพิ่งเปิดมาไม่นาน สภาพยังดูใหม่อยู่
“เอาผัดกระเพราไข่เจียว 2 ค่ะ”
หนึ่งสั่งอาหารโปรดของตัวเองและคนรัก แต่ต้องชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเจ้าของร้านคือป้าใจ ที่เคยขายข้าวแกงด้วยกันเมื่อสิบปีที่แล้ว  ป้าใจเองก็มองหนึ่งเพราะเห็นว่าหน้าคุ้นๆ
หนึ่งรีบหันตัวกลับ เพราะกลัวป้าแกจำได้
“ขอโทษนะหนูใช่หนึ่งรึเปล่า หนึ่งยายพิมพ์อ่ะ”
ยังไม่ทันได้เดินหนี ป้าแกชิงถามเสียก่อน
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ป้าจำคนผิดแล้วมั้งคะ”
“อ๋อจ่ะๆ ป้าขอโทษที"
หนึ่งเลยเดินมานั่งที่โต๊ะ พอดีกับที่ต้นออกมาจากห้องน้ำ ทั้งคู่รออาหารมื้อเที่ยงครู่เดียว ป้าแกก็เอามาเสริ์ฟ
“หนูหน้าคล้ายๆคนที่ป้ารู้จักเลย แต่หนูสวยคมกว่า แล้วก็ขาวกว่าด้วย”
“มีคนสวยเหมือนแฟนผม ด้วยเหรอครับป้า” ต้นหยอกเล่นอีกตามเคย
“ก็สวยไม่เท่าหรอกจ่ะ แต่มันเป็นเด็กน่าสงสารนะ พูดแล้วก็อดห่วงไม่ได้ไม่รู้ป่านนี้เป็นไงบ้าง”

พออิ่มหนำสำราญ ทั้งหนึ่งและต้น ช่วยกันเก็บข้าวของที่ขนมา ให้เป็นระเบียบ ต้นให้สถาปนิกออกแบบบ้านให้แบ่งเป็นสองส่วน ตัวบ้านให้ยกพื้นขึ้นสูงจากที่ดินมีทางเชื่อมไปติดกับห้องโถงอีกห้องข้างๆบ้าน ซึ่งห้องโถงอีกห้องตั้งใจจะทำเป็นสตูดิโอและหน้าร้านรับจัดพรีเวดดิ้งของหนึ่ง ซึ่งส่วนที่เป็นร้านพรีเวดดิ้งไม่ได้ยกพื้น บ้านตกแต่งด้วยสีครีมและน้ำตาลอ่อน หนึ่งชอบมากๆเพราะแลดูอบอุ่น
“หนึ่งเดี๋ยววันนี้ จะมีเพื่อนๆที่ทำงานต้นมาปาร์ตี้นะ  น้องที่เป็น Engineer ของแผนกก็จะมาด้วย แฟนน้องเค้าเป็นช่างภาพอิสระจะเอาผลงานมาให้ดูเผื่อหนึ่งจะสนใจ”
“จริงเหรอ ดีเลยหนึ่งกำลังหนักใจเรื่องช่างภาพอยู่พอดี”
“จริงสิ แถมน้องเค้ายังชอบเรืองผีๆสางๆ เหมือนหนึ่งอีกต่างหาก ต้นยังกลัวอยู่ว่าถ้าให้ทำงานด้วยกัน จะเปลี่ยนจากพรีเวดดิ้งเป็นถ่ายภาพติดวิญญาณแทนรึป่าว”
“เอาอีกแล้วนะ หนึ่งบอกแล้วว่าอย่าพูดแบบนี้ ไม่เชื่อก็อย่าหลบหลู่”
เย็นวันนั้นเพื่อนๆ ของต้นมากัน 5-6 คน ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ชาย มีแค่น้องที่เป็นช่างภาพเท่านั้นที่เป็นผู้หญิง
“สวัสดีค่ะพี่หนึ่ง หนูชื่อเรย์นะคะ พี่ต้นคงพูดให้ฟังแล้วว่าหนูเป็นช่างภาพ”
“จ่ะ ต้นพูดให้ฟังแล้ว ค่อยยังชั่วทีแรกนึกว่าต่างจังหวัด จะหาช่างภาพไม่ได้แล้วซะอีก”
ทั้งสองสาวคุยกันไปทำกับข้าวไป หนุ่มๆ ก็ติดเตาย่างปลาอยู่ข้างนอก
“เรย์ๆช่วยเอาจานมาใส่ปลาหน่อยสิ” เสียงด้านนอกไหว้วานให้เรย์ช่วย เรย์เดินไปหยิบจานแล้วเดินออกไป แปบเดียวก็กลับเข้ามาพร้อมปลาช่อนเผาตัวใหญ่ในจาน
“หนุ่มๆเขาให้เรามารองท้องนะค่ะ พี่หนึ่งเอามั้ยหอมเชียว”
“ไหนๆ ลองดูสิ” หนึ่งรับปลาจากเรย์มา เอื้อมมือกำลังจะไปบิเนื้อปลามาลิ้มรส แต่สิ่งที่เห็นไม่ใช่ปลาช่อนหอมฟุ้งเมื่อครู่กลับเป็นท่อนล่างของแขนไปจนถึงปลายนิ้วมือของใครสักคน ที่ถูกเผาจนเกรียมมีควันลอยอยู่จางๆ
“ว้าย”หนึ่งอุทานเสียงดัง ปล่อยจานปลาลงพื้น จานแตกกระจาย ส่วนปลากระเด็นไปคนละทิศละทาง
“เป็นอะไรไปคะพี่หนึ่ง”เรย์ถามเมื่อเห็นหนึ่งยืนนิ่ง หน้าซีดเป็นไข่ต้ม
“เปล่าจ๊ะ พี่น่าจะแค่ตาฝาด”
ได้ยินแบบนั้นเรย์ก็ทำหน้าตกใจ
“พี่หนึ่งเห็นอะไรเหรอคะ เรย์ว่าที่นี่ต้องมีอะไรแน่เลย มันแปลกๆรู้สึกเหมือนมีคนมองเราอยู่ตลอดเวลา”เรย์พูดทำเสียงกลัวๆ
“ไม่มีอะไรหรอกเรย์อย่าคิดมากเลย” หนึ่งหลอกให้เรย์สบายใจ
“ของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าหลบหลู่นะคะ พี่หนึ่งดูดวงหน่อยมั้ย เรย์มีเจ้าประจำแม่นมากๆ”
หนึ่งที่ไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องดวงชะตา กลับยอมให้เรย์ พาไปหาหมอดู  เพราะไม่อยากจะอยู่คนเดียว
“ก็ดีนะ พรุ่งนี้พี่ว่างเรย์ว่างรึเปล่า”
“ว่างค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เรย์มารับ”
“จ๊ะ ขอบใจนะ”
ปาร์ตี้จบลงในเวลาเกือบ 4 ทุ่ม ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน หนึ่งทำหน้าที่ล้างจานอยู่ในครัวโดยมีต้นอยู่เป็นเพื่อน
“ตื๊ดๆๆๆ” เสียงโทรศัพท์ของต้นดังขึ้น หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปสักพัก
หลังจากวางสาย หนึ่งสอบถามได้ความว่า วัลลพ รุ่นพี่ที่ทำงานของต้นโทรมาบอกว่ากลับถึงบ้านปลอดภัยแล้ว และก็บอกว่าขากลับปวดฉี่เลยแวะไปฉี่ตรงต้นไม้ริมคลองตรงข้ามบ้านของต้น เจอลุงแก่ๆน่าจะเป็นเจ้าของที่ยืนจ้องแกตาเขม่ง แต่พอวัลลพขอโทษก็ไม่หือไม่อือ แกคงโกรธ วัลลพก็เลยเดินหนีมาขึ้นรถแล้วก็กลับบ้านไปเลย เพราะว่าเมาเต็มที่ เล่าจบต้นก็ขอตัวไปอาบน้ำ ทิ้งให้หนึ่งยืนเก็บจานอยู่คนเดียว
“พ่อ พ่ออย่าโกรธเค้าเลยนะจ๊ะ เค้าก็แต่คนเมา”
หนึ่งวางจานลงยกมือขึ้นไหว้ บอกกล่าวลุงคนที่วัลลพเจอ

เช้าวันรุ่งขึ้นต้นตื่นอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานส่วนหนึ่ง ก็ตื่นมาทำอาหารเช้าตามหน้าที่ภรรยา ทานข้าวเช้าด้วยกันเสร็จก็ถึงเวลาแยกย้ายต้นขับรถคันเก่งไปทำงาน ส่วนหนึ่งพอให้ต้นขับรถผ่านไป ก็จัดแจงปิดบ้าน เดินข้ามถนนไปอีกฝั่ง หนึ่งหยุดลงตรงหน้าศาลเพียงตาหลังเล็กๆเก่าๆ ใต้ต้นไม้ที่ตั้งอยู่ริมคลอง ใช้มือหักดอกไม้ที่อยู่ รอบๆศาลขึ้นไปประดับในขวดพลาสติกที่ใช้แทนแจกัน
“คิดถึงหนึ่งมั้ยคะพ่อ หนึ่งคิดถึงพ่อจังเลยค่ะ วันนี้เตรียมตัวไม่ทัน พรุ่งนี้หนึ่งจะไปซื้อพวงมาลัยดอกมะลิที่พ่อชอบมาให้นะ ” หนึ่งพูดคนเดียวอยู่หน้าศาลแห่งนั้น ราวกับคนที่ไม่เจอกันมาแสนนาน เล่าเรื่องราวที่ประสบพบเจอให้กันฟัง
ระหว่างนั้นพระสองรูปเดินบิณฑบาตผ่านมาพอดี หนึ่งในนั้นก็คือพระหนุ่ม พระหนุ่มเหลือบมองไปที่ศาลเพียงตาข้างทาง ตามปกติที่ทำทุกวันที่ได้เดินผ่านถนนแห่งนี้ แต่วันนี้ประหลาดสายตาของพระหนึ่ง เหลือบพบหญิงสาวแต่งตัวสะอาดสะอ้านเกินกว่าคนบ้า ที่ชอบกินของเซ่นไหว้ตามศาล เธอนั่งพูดคุยอยู่คนเดียว แต่ระยะทางไกลเกินกว่าจะเห็นชัดว่าเป็นใคร ปกติมีเพียงไม่กี่คนที่จะมาใยดีศาลเล็กๆศาลนี้ เพราะขนาดตอนที่ หนุ่มกับหนึ่งไปขอให้หลวงตาที่วัดช่วยสร้างศาลนี้ให้ เพราะกลัวว่าพ่อจะกลายเป็นผีไร้ศาล เป็นสัมภเวสีเร่ร่อน ชาวบ้านก็พากันไม่พอใจคัดค้านกันอย่างหนัก บ้างว่าพ่อก็แค่ผีตายโหงไม่มีใครที่ไหนเค้าสร้างศาลให้หรอก บ้างก็ว่ายิ่งมีศาลวิญญาณจะยิ่งเฮี้ยน หลวงตาถึงกับต้องยื่นข้อเสนอว่า ถ้าวิญญาณของพ่อสร้างความเดือดร้อนจะรื้อศาลให้ทันที ซึ่งวิญญาณของพ่อก็ไม่เคยสร้างความเดือดร้อน หรือตามหลอกหลอนชาวบ้านเลย ถึงอย่างนั้นศาลแห่งนี้ก็ไม่เคยมีใครแวะเวียนมากราบไหว้เลยสักครั้ง นอกจาก
“หนึ่งเหรอ” “แต่แกจะกลับมาทำไม” พระหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเอง
“พระหนุ่มมีอะไรรึเปล่า หยุดเดินทำมั้ย” พระอีกรูปถามขึ้นเมื่อเห็นว่าตนเดินทิ้งหากจากพระหนุ่มมามาก
“เปล่าไม่มีอะไร” พระหนุ่มตอบเสียงเรียบๆแล้ว พระทั้งสองรูปเดินจากไป
“ปริ๊นๆๆๆ” เสียงบีบแตรดังขึ้นติดไปกัน 2-3 ครั้ง หนึ่งรีบเช็ดน้ำตา เดินออกจากศาลเพื่อไปดูต้นกำเนิดเสียง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น