Tadeestory

บทความส่วนใหญ่ เป็นนิยาย เรื่องสั้น เรื่องเล่า มีทั้งอ้างอิงจากเค้าโครงเรื่องจริง และเรื่องแต่งขึ้นเอง

Tadeestory / ลัทธิโอมชินริเกียวและการสังหารหมู่



ลัทธิโอมชินริเกียวก่อตั้งขึ้นโดยนาย โซโกะ อาวาฮาระ เมื่อปี 2530 มีสาวกหรือสมาชิกราว 10,000 คน โดยลัทธิดังกล่าวได้สอนให้สมาชิกฝึกฝนในเ รื่องของการทำสมาธิ ทำจิตใจให้สงบ และ การเล่นโยคะ นอกจากนั้นเหล่าสาวกของลัทธิโอมชินริเกียวยังมี ความเชือว่า นาย โชโกะ อาวาฮาระ ผู้ก่อตั้ง มีความสามารถมีความสามารถในการพยากรณ์ และหยั่งรู้อนาคตได้ และเขาได้ทำนายถึงสงครามโลกครังที 3 ว่าสหรัฐจะบุกยึดประเทศญปุ่นเพื่อใช้เป็นสถานที่ทิ้งขยะทางสงคราม จะเกิดภัยพิบัติรุนแรงขึ้นกับโลกมนุษย์และอีกหลายๆเรื่องเกี่ยวกับวันโลกาวินาศ


รูปของนายโซโกะ อาวาฮาระ (เครดิตในรูป)

จนกระทั้งปี 2538 นายโซโกะ อาวาฮาระ ผู้นำลัทธิและสาวกของเขารวม 6 คน ได้
ก่อเหตุโจมตีในสถานนีรถไฟฟ้าได้ตินซูมิคาเงกิ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยใช้อาวุธเคมีในการสังหาร เหตุการณ์ในครั้งนี้ส่งผลให้มี ผู้เสียชีวิตถึง 13 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 6,200รายด้วยกัน ซึ่งเหยื่อทั้งหมดไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับผู้ก่อตั้งหรือลัทธิโอมชินริเกียวเลย
ทางการณ์ญี่ปุ่นใช้เวลากว่า 2 เดือนเพื่อสืบหาและดำเนินการจับตัวคนร้าย และยังมีการเปิดเผยในภายหลังว่า นายโซโกะ อาวาฮาระ ได้ก่อเหตุทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตรวมถึง 29 ราย จำนวนนั้นรวมเด็กทารกด้วย 1 ราย
นายโซโกะ อาวาฮาระ เป็น ผู้พิการทางสายตาตั้งแต่เด็ก แต่เค้า เป็นผู้ที่มีทักษะในการพูดจูงใจ และ สามารถพูดโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นให้คล้อยตามตนเองได้ ส่วนแรงจูงใจในการก่อเหตุในครั้งนั้น ยังไม่ทราบแน่ชัด บางรายงานกล่าวว่านายโซโกะ อาวาฮาระ และ่พวกเชื่อวันโลกาวินาศกำลังจะมาถึง ส่วนพวกตนจะรอดหากก่อเหตุ อย่างไรก็ตามภายหลังจากการถูกจับกุม พวกเขาถูกตัดสินให้ได้รับโทษประหารชีวิต และถึงแม้พวกเค้าจะพยายามต่อสู้ ตามกระบวนการยุติธรรมของประเทศญี่ปุ่นแล้ว แต่ศาลฎีกากียังคงมีคำตัดสินประหารชีวิตจำเลยทั้ง 6 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้มีการแถลงข่าว เรื่องการประหารชีวิตนักโทษทั้ง 6 คนด้วยการแขวนคอว่าได้ทำขึ้นตั้งแต่เช้าวันที่ 6 กรกฏาคม 2561 เป็นอันปิดตำนานคดีสะเทือนขวัญที่มีระยะยาวนานถึง 23 ปี ทั้งนี้หลังจากเกิดเหตุสังหารหมู่ในครั้งนั้น ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องทำการแก้ไขกฏหมายบ้างข้อ เพื่อใช้ควบคุมลัทธิต่างๆ รวมถึงเฝ้าสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดด้วย

       ปัจจุบันสาวกของลัทธิโอมชินริเกียว ก็ยังมีอยู่ในประเทศญี่ปุ่น โดยตั้งชื่อลัทธิว่า “แอลป์”มีความเชื่อตามลัทธิโอมชินริเกียว  โดยผู้ก่อตั้งเป็นอดีตสาวกลัทธิโอมชินริเกียวอีกด้วย

Tadeestory/ล็อคเกอร์มือสอง ตอน6(ตอนจบ)



พี่พลอยมองหน้าฉันนิ่งๆไม่แสดงอาการอะไร
“ฝนกำลังคิดอะไร”พี่พลอยถามฉัน
“ไม่รู้สิคะกลิ่นเหม็นๆนั่นก็มาจากล็อคเกอร์ป้าบัว แล้วแกก็ออกมาจากล็อคเกอร์ตั้งนานแล้ว แต่กลับเพิ่งออกจากจากห้องน้ำ แถมพี่ยังเจอผีหลังจากที่แกใช้ห้องน้ำเสร็จอีก อาจจะมีวิญญาณตามแกอยู่ก็ได้”ฉันแสดงความคิดเห็น
“มันก็น่าคิดแหละ แต่ผีที่ไหนจะมาตามป้าบัว แถมสภาพยังน่ากลัวขนาดนั้น เราลองถามพี่ปูเป้ดูมั้ยเผื่อมีใครเจอแบบเรา อาจจะเคยมีใครตายที่นี่ก็ได้”
พี่พลอยเสนอ ซึ่งฉันก็เห็นด้วย เราออกจากห้องน้ำตรงไปที่ออฟฟิศ พยายามทำตัวให้เป็นปกติ วันนี้พี่ปูเป้พาฉันไปเช็คงานที่ห้องเทส พี่เอ็มขอพาพี่พลอยตามไปดูด้วย ฉันเลยถือโอกาสที่อยู่กันตามลำพังสอบถามพี่ปูเป้เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น พี่ปูเป้เล่าให้ฟังว่า ถ้าจะมีผีตามป้าบัวก็คงจะไม่แปลก เพราะป้าบัวก็เพิ่งเสียลูกชายที่พิการทางสมองไป จากเหตุไฟไหม้ วันนั้นฝนตกหนัก แล้วไฟที่บ้านดับลูกชายแกน่าจะจุดเทียนหรืออะไรสักอย่าง มันคงจะลามแล้วดับไม่เป็น จะหนีก็ไม่ได้เพราะป้าแกจะล็อคกุญแจบ้านเอาไว้ กันลูกชายเดินไปข้างนอก  ซึ่งปกติแล้วป้าบัวแกจะกลับ 5 โมงตลอด แต่พอพี่นก Supervisor คนเก่าเข้ามาแกก็ตั้งแง่กับป้าบัวตลอด ห้ามเลิก 5 โมงต้องทำโอสารพัด จะหาเรื่องแกล้ง แต่ตอนนี้พี่นกแกออกไปแล้ว ตั้งแต่ที่ลูกชายป้าแกเสีย พี่นกก็มาทำงานสาม สี่วันก็หายไปดื้อๆ แกก็คงรู้สึกผิดแหละ
“แล้ว สามีของป้าบัวละคะ”
พี่พลอยถามด้วยความสงสัย
“อุ้ยอันนี้อย่าไปถามแกเชียวนะ ไม่มีใครรู้หรือเคยเห็นสามีแกหรอก พี่เองก็เข้าไม่ทันตอนแกท้อง เห็นคนเก่าๆบอกว่าแกท้องไม่มีพ่อ เพราะแฟนยังไม่มีเลย ไม่รู้ท้องได้ไง”
“แต่ว่าพี่ที่พลอยเห็น แล้วก็ที่ฝนฝันถึงเป็นผู้หญิงนะคะ”
“ใช่ๆแถมแผลก็ไม่เหมือนโดนไฟไหม้ด้วย”พี่พลอยเสริม ทำให้เราทั้งสามงงกันนิดหน่อย ส่วนพี่เอ็มนั่งฟังอย่างเงียบๆ ไม่แสดงความคิดเห็นอะไร
พอพักเที่ยงฉันกับพี่พลอยเลยตกลงกันว่าวันพรุ่งนี้จะมาทำงานแต่เช้า เพื่อมาแอบดูว่าในล็อคเกอร์ของป้าบัวนั้นมีอะไรซ่อนอยู่

              การทำงานในวันนี้ฉันเรียนรู้อะไรได้ไม่ค่อยมาก เป็นเพราะมัวแต่สงสัยและพยายามจับผิดป้าบัวอยู่ เย็นวันนั้นฉันเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมพี่พลอย กลิ่นเหม็นๆยังคงคละคลุ้งอยู่ ฉันกับพี่พลอยเปลี่ยนแผนกันนิดหน่อยคือจะรอให้ป้าแกลงมาแล้วแอบดูจังหวะนั้นเลย แต่รอจนเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วป้าบัวยังไม่ลงมา เราทั้งคู่เลยตัดสินใจกลับบ้านพรุ่งนี้ค่อยมาตั้งหลักใหม่

      พอกลับถึงบ้านแม่รีบเข้ามาคุยด้วย แม่เล่าให้ฟังว่าวันนี้ตอนกลางวันหลังจากรับจ๊อบทำข้าวกล่องเสร็จ แม่รู้สึกเพลียจึงนอนพักระหว่างนั้นแม่ฝันว่า ที่งานปาร์ตี้เมื่อคืนมีผู้หญิงคนนึง ลักษณะตรงตามที่เราบอก คือคล้ายศพที่ถูกฆ่าแล้วแล่เนื้อออกเป็นชิ้นๆ ผู้หญิงคนนั้นเดินตามป้าบัวเข้ามาในบ้านเรา ตอนที่ป้าบัวไปเข้าห้องน้ำ แต่ขากลับป้าบัวกลับออกไปคนเดียว แม่เลยตั้งข้อสังเกตว่าผีคนนั้นอาจจะตามป้าบัวมาที่บ้านของฉัน ฉันเลยตัดสินใจเล่าเรื่องแปลกที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง รวมถึงแผนการไขข้อข้องใจในวันพรุ่งนี้ด้วย แต่แม่กลับไม่เห็นด้วยกลัวว่าเราจะเป็นอันตราย คืนนั้นฉันขอไปนอนกับแม่ เพราะยิ่งรู้ว่าตอนนี้วิญญาณผู้หญิงคนนั้นอาจจะยังอยู่ที่บ้านของฉัน ฉันก็ยิ่งกลัว

            วันรุ่งขึ้นฉันออกจากบ้านไปทำงานเช้ากว่าทุกๆวัน ตั้งใจจะไปถึงบริษัทก่อน 6 โมงเช้าซึ่งเป็นเวลาที่ฉันกับพี่พลอยนัดกันเอาไว้ ฉันมาถึงหน้าห้องล็อคเกอร์ในเวลา 6 โมง 5นาที ไฟในห้องเปิดอยู่ พี่พลอยคงเข้าไปแล้ว ฉันค่อยๆถอดรองเท้าเซฟตี้วางไว้ที่หน้าประตู แล้วเปิดประตูให้เบาที่สุด เอาแค่มีช่องว่างแทรกตัวเข้าไปได้ ฉันเดินย่องๆเข้าไป
“กุกกักๆ”เสียงกุกกักๆ ดังมาจากหลังห้อง ฉันสอดสายตามองล็อคเกอร์แต่ละแถวแต่ไม่เจอพี่พลอยเลย จนกระทั่งฉันเดินมาถึงล็อคเกอร์แถวรองสุดท้าย ฉันเดินเข้าไปในแถวรองสุดท้ายริมด้านในสุดแล้วชะโงกหน้าแอบดู ภาพที่เห็นคือป้าบัวสวมผ้าปิดจมูก สวมถุงมือทั้งสองข้าง ที่พื้นข้างๆขาของป้าบัว เป็นขวดน้ำเปล่า แต่น้ำข้างในไม่น่าใช่น้ำเปล่า ป้าบัวใช้สลิงค์ดูดน้ำยาในขวด แล้วเอาเข็มสวมที่ปลายสลิงค์ ก่อนจะเอาเข้าไปฉีดอะไรสักอย่างที่อยู่ในล็อคเกอร์ของแก ฉันมองไม่ถนัด ฉันรู้แต่ว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องผีธรรมดาๆแล้ว ป้าบัวกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ เรื่องนี้คงอันตรายเกินไปสำหรับฉัน ฉันควรออกจากตรงนี้ได้แล้ว ฉันค่อยๆกลับหลังหันเพราะไม่อยากให้เกิดเสียง
“ผว๊ะ ตุ๊บ” ฉันชนเข้ากับพี่พลอยที่ย่องเข้ามาเงียบๆอย่างจัง จนทำให้ของพี่พลอยหล่นลงพื้นกระจุยกระจาย
“ปัง” เสียงประตูล็อคเกอร์ถูกปิดเจ้าอย่างแรงดังสนั่น
ป้าบัวโผล่ออกมาจากล็อคเกอร์แถวสุดท้าย
“มาทำอะไรกัน”แกถามด้วยเสียงดุดัน
พี่พลอยที่คงจะไม่ทันเห็นเหตุการณ์ มองไปที่ถุงมือและเข็มฉีดยาที่มือของป้าบัว พร้อมทำหน้างง
“สาระแนไม่เข้าเรื่อง” ป้าบัวเดินตรงมาที่ฉันกับพี่พลอย พร้อมยกเข็มฉีดยาขึ้น
“เฮ้ยป้าจะทำไรอ่ะ” ฉันถามขึ้น พร้อมกลับเก็บรองเท้าเซฟตี้ในของพี่พลอยขึ้นมา ป้าบัวไม่ตอบเดินตรงมาหาเรากับพี่พลอยเรื่อยๆ เรากับพี่พลอยตัดสินใจ หันหลังวิ่งหนี แต่ป้าบัวดึงผมเราไว้ แล้วแทงเข็มในมือเข้าที่แขนเรา
“โอ๊ย”เราร้องด้วยความเจ็บปวด พี่พลอยดึงรองเท้าจากมือเราฟาดไปที่มือป้าบัวไม่ยั้ง จนทั้งมือและเข็มหลุดออกจากแขนเรา พี่พลอยยังโยนรองเท้าเข้าที่หน้าป้าบัวอย่างจัง ทำเอาป้าบัวล้มกลิ้ง เราจึงหนีออกมาได้ พอออกจากห้องล็อคเกอร์ได้พี่พลอยกับเรารีบปิดประตู พร้อมดึงลูกบิดเอาไว้
“ปัง ปัง ปัง”เสียงเคาะจากด้านในดังสนั่น พี่เอ็มที่ได้ยินแผนการที่เราคุยกับพี่พลอย ก็นึกเป็นห่วงเลยมาแต่เช้ากว่าปกติ เห็นเหตุการณ์เข้าพอดีจึงช่วยกันดึงประตูเอาไว้ ฉันจึงออกไปตามยามให้มาช่วยกันอีกแรง

แต่พี่ยามก็ยังคงเข้าไปด้านในไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าป้าบัวแกมีอาวุธอะไรอีกบ้าง ทำได้แค่ป้องกันไว้ไม่ให้ป้าบัวออกมาด้านนอก  ขณะที่ฉันเริ่มมีอาการแสบคัน และบวมแดงบริเวณที่ถูกฉีดด้วยเข็มนั่น เวลาผ่านไปพักใหญ่ พนักงานคนอื่นเริ่มทยอยมาทำงาน แต่เข้าไปด้านในห้องแต่งตัวไม่ได้ ฝ่ายบุคคลจึงประสานจิตแพทย์ให้มาช่วยเกลี้ยกล่อและตำรวจให้มาควบคุมสถานการณ์ ซึ่งก็ดูท่าทางจะเป็นผลป้าบัวดูสงบลง ตำรวจจึงตัดสินใจ เปิดประตูและบุกเข้าไปด้านใน โดยที่เราและคนอื่นไม่ได้ตามเข้าไปเพราะถูกห้ามไว้ ครู่เดียวตำรวจก็นำตัวป้าบัวออกมาพร้อมกับใส่กุญแจมือป้าแกเอาไว้  ขณะที่เดินผ่านพวกเราป้าบัวหันมาจ้องหน้าพี่เอ็มแว๊บนึง ก่อนจะถูกคุมตัวขึ้นรถไป ตำรวจกันทุกคนออกจากพื้นที่ เราแยกตัวไปปฐมพยาบาลที่ห้องพยาบาล โชคดีที่สารนั้นถูกฉีดเข้าไปแค่น้อยมากๆ จึงส่งผลให้เซลล์ตายเป็นบริเวณเล็กๆเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆต้องไปนั่งรอที่ลานสนามหน้าโรงงานแทน จนเวลาล่วงเลยไปเกือบสองชั่วโมงทุกคนถูกสั่งให้เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเข้าทำงานตามปกติ ยกเว้นฉัน พี่พลอย พี่เอ็ม ที่ต้องไปให้ปากคำที่โรงพักต่อ ตำรวจให้เราดูรูปศพที่ถูกซ่อนอยู่ในล็อคเกอร์ของป้าบัว ซึ่งเมื่อฉันเห็นก็จำได้ทันทีว่าต้องเป็นคนๆเดียวกับที่ฉันเห็นในความฝันแน่ๆ นอกจากนั้นตำรวจยังได้ซักถามว่าพวกเรามีส่วนเกี่ยวข้องและรู้เห็นกับเหตุการณ์นี้หรือไม่ ซึ่งพวกเราทุกคนปฏิเสธและให้การณ์ตรงกันกับที่ป้าบัวเล่าและสารภาพว่าคนลงมือแต่เพียงผู้เดียว ตำรวจยังได้เล่ามูลเหตุจูงใจและที่ไปที่มาของศพนี้ให้พวกเราฟังว่า ศพในล็อคเกอร์คือพี่นกเจ้าของเก่าของล็อคเกอร์ฉัน เธอกำลังคบหาดูใจกับพี่ชาติอดีตผู้จัดการฝ่ายบุคคลของบริษัทและเป็นสามีลับๆของป้าบัว ป้าบัวเล่าให้ตำรวจฟังทั้งน้ำตาว่า ตนและพี่ชาติคบหาดูใจกันอย่างเงียบๆ เป็นเวลานานหลายปี แต่พี่ชาติขอให้เก็บเรื่องความสัมพันธ์เป็นความลับ โดยอ้างเหตุผลเกี่ยวกับหน้าที่การงาน เพราะเมื่อก่อนตนเป็นเพียงพนักงานฝ่ายผลิตธรรมดาๆ แต่ฝ่ายชายกำลังจะได้ขึ้นเป็นผู้จัดการ ความสัมพันธ์พัฒนาขึ้นจนกระทั่งตนตั้งท้อง แต่พี่ชาติยังขอให้เก็บเป็นความลับอีก ตนจำยอมเพื่ออนาคตของครอบครัว แต่เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามที่หวังพอพี่ชาติได้ขึ้นเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล เขากลับไม่เปิดเผยความสัมพันธ์ตามที่เคยบอกไว้ กลับกันคือความเจ้าชู้ที่มากขึ้นควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ทำให้ป้าบัวแกเสียใจมากและเพราะความเครียดสะสมขณะที่ตั้งครรภ์นี่เอง ทำให้ลูกน้อยที่เกิดมาพิการทางสมอง  พี่ชาติยินดีจะช่วยดูแลค่าใช้จ่ายแต่ไม่ขอกลับไปอยู่เป็นครอบครัว ถึงอย่างนั้นก็เถอะเวลาพี่ชาติไม่มีที่ไปก็กลับไปหาป้าบัวทุกที ต่อมาพี่ชาติถูกกดดันอย่างหนักจากทางบริษัทเพราะมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม จึงลาออกไปทำงานที่ใหม่และได้พบเจอกับพี่นกจนนำไปสู่การสานความสัมพันธ์กันขึ้น พี่นกไม่เหมือนผ๔้หญิงทุกคนของพี่ชาติเพราะร้ายและตามระแวงผู้หญิงทุกคน รวมถึงป้าบัวที่แกก็สืบจนรู้ว่าเป็นภรรยาที่มีลูกด้วยกันจนโตถึง 14 ปี พี่นกขแให้พี่ชาติใช้เส้นสายฝากตนเข้าทำงานในบริษัทเก่าซึ่งก็คือบริษัทที่ฝึกงานในตอนนี้ และก็บังเอิญบังเอิญที่ทางแผนก QE ได้เรียกให้ป้าบัวมาช่วยทำเอกสารเพราะเห็นว่าแกอายุมากแล้วและมีลูกให้ต้องดูแล พอพี่นกได้เข้ามาทำวานในตำแหน่งซุปเปอร์ไวเซอร์ เลยใช้อำนาจที่มีกลั่นแกล้งป้าบัวสารพัด แต่ที่ทำมห้ฟางเส้นสุดท้ายขาด คือวันที่ฝนตกหนัก ป้าบัวแกขอกลับบ้านไปดูลูกชายเพราะลูกแกกลัวเสียงฟ้ามากๆ แต่พี่นกกลับห้ามไม่ให้กลับยัดเยียดงานให้ทำ จนเวลาเกือบทุ่มแกได้รับข้าวร้ายว่าบ้านเช่าหลังเล็กที่แกอาศัยอยู่ถูกไฟไหม้ ซึ่งลูกชายเพียงคนเดียวของแกถูกไฟคลอกดำเป็นตอตะโก แกต้องจัดงานศพให้ลูกเพียงลำพังแม้แต่พ่อแท้ๆของลูกแกยังโผล่หน้ามาแค่วันเผาแถมพาพี่นกที่แกฝังใจว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกชายแกตายมาเย้ยกันด้วย หลังจากงานศพลูกแกจบลงแกก็มาทำงานตามปกติ วันที่แกลงมือเป็นวันแรกหลังจากที่กลับมาทำงานนั่นแหละ วันนั้นแกบังเอิญเจอพี่นกที่ล็อกเกอร์ ทำให้มีปากเสียงกัน พีนกกล่าวหาว่าแกตั้งใจจะเอาลูกเป็นตัวรั้งพี่ชาติเอาไว้ แกเลยโกรธพลั้งมือเอามีดปลอกผลไม้ที่ติดตัวมาด้วยแทงเข้าที่คอของพี่นก จนเสียชีวิต ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้วจึงไม่มีคนเห็นเหตุการณ์ แกไม่รู้จะทำยังไงเลยลากศพของพี่นกไปซ่อนในล็อคเกอร์ของตัวเองที่อยู่ข้างๆกับล็อคเกอร์ของพี่นก วันรุ่งขึ้นแกลาครึ่งวันไปซื้อฟอร์มาลีนจากร้านขายโลงศพที่แกซื้อโลงให้ลูกชายมา 1 แกลอน โดยอ้างกับทางร้านค้าว่าพ่อของเด็กที่อยู่เมืองนอกอยากมาร่วมงานด้วยต้องเก็บศพไว้รอก่อน ทางร้านหลงเชื่อและให้น้ำยาแก่ป้าบัวมา แกเอามาฉีดที่ศพไปจนทั่วร่างกาย ช่วงแรกๆทำให้กลิ่นไม่ออก และศพไม่เน่าเปื่อย แกจึงเริ่มทำการตัดชิ้นส่วนแร่เอาเนื้อส่วนที่แร่ได้ออกไปทีละนิดละหน่อย รวมถึงผ้าเอาพวกเครื่องใน นิ้วมือ นิ้วเท้าออกไปทิ้งตามห้องน้ำที่ตามที่ต่างๆที่แกไปรวมถึงบ้านฉันด้วย แกอาศัยมาทำงานแต่เช้าและกลับดึกเอาหน่อย แต่ช่วงหลังๆศพเริ่มส่งกลิ่นและร่างกายศพเริ่มแข็ง  แกเลยต้องรีบชำแระร่างให้เร็วที่สุด เป็นเหตุผลที่แกต้องอยู่ในล็อคเกอร์เกือบถึงเจ็ดโมง ฉันเลยบังเอิญมาเจอเข้าจนได้ ก่อนจะกลับพี่เอ็มขอเข้าไปคุยกับป้าบัวที่ห้องขัง อาจเป็นเพราะแกรู้สึกสงสารและเห็นใจป้าบัว ฉันกับพี่พลอยเลือกที่จะรออยู่ด้านนอก รออยู่แค่ครู่เดียวพี่เอ็มก็ออกมา เราสามคนเลือกที่จะแยกย้ายกลับบ้านเลยไม่กลับไปที่บริษัท พี่พลอยที่บ้านอยู่ใกล้สุดเลือกที่จะนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับไป ส่วนพี่เอ็มกับฉันเลือกที่จะนั่งรถสองแถวคนละสายเพื่อกลับบ้านตัวเอง รถสายของพี่เอ็มมาก่อนแต่ขณะที่พี่เอ็มก้าวขึ้นรถไป มีกระดาษแผ่นเล็กๆหลุดออกจากกระเป๋ากางเกงของแก ฉันเก็บขึ้นมากะจะนำไปคืนวันพรุ่งนี้ แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นฉันเลยแอบเปิดอ่าน จดหมายน้อยใบนั้นเขียนข้อความว่า
“ ลาออกไปเริ่มต้นใหม่เถอะลูก ไม่ต้องห่วงป้าจะรับผิดไว้แค่คนเดียว คนอย่างมันไม่ควรจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ขอให้น้องสาวของเอ็ม ที่เป็นเหยื่อความหึงหวงของนังนก หายกลับมาเป็นปกติ อย่าต้องให้ถึงชีวิตอย่างลูกชายป้าเลย” ลายมือในจดหมายต้องเป็นของคนๆเดียวกับเจ้าของคำว่า “สวัสดี”ในล็อคเกอร์ฉันแน่ๆ ป้าบัวคงทำไว้หลอกให้ฉันกลัว
ตอนนี้จดหมายในมือฉันและหัวใจสั่นระรัว ในหัวเต็มไปด้วยความสับสน
ฉันคงต้องกลับไปที่โรงพักก่อน ขอบคุณที่อ่านกันจนจบ

“สวัสดีค่ะ”

Tadeestory / ล็อคเกอร์มือสอง ตอน5


“ฝนเคยเห็นเจ้าของล็อคเกอร์ข้างๆฝนป่ะ เค้าเก็บอะไรไว้อ่ะทำไมเหม็นขนาดนี้ ไม่เกรงใจคนข้างบ้างเลย”
พี่พลอยถาม
“เจ้าของก็ป้าบัวไง พี่พลอย”
ฉันตอบเสียงเบาๆ
“ห๊าจริงดิ แกก็ดูเป็นคนสะอาดนะ ไม่น่าเชื่อเลยอ่ะ”
“พี่พลอยว่าเสียง กุกกักกุกกัก คือเสียงอะไร”
“ก็น่าจะเสียงหนูวิ่งละมั้ง เหม็นขนาดนี้ข้างในคงไม่ต่างจากกองขยะ อี้ ขนลุกอ่ะ เออฝนกินข้าวมายัง”
“กินแล้วค่ะ พี่พลอยล่ะ”
“กินมาแล้ว ขึ้นออฟฟิศเลยเนอะ”
“ค่ะ แต่ขอแวะห้องน้ำหน่อยนะ”
“ได้ๆ ปวดเหมือนกัน” ฉันกับพี่พลอยตกลงกันเสร็จก็เดินขึ้นมาที่ชั้นสอง ตกหัวมุมบันไดจะมีห้องน้ำเล็กๆอยู่ เป็นห้องน้ำผู้หญิง 2 ห้อง ส่วนของผู้ชายมีกี่ห้องไม่แน่ใจ ฉันกับพี่พลอยเดินเข้าไปในห้องน้ำ มีห้องว่างอยู่หนึ่งห้อง ฉันเลยให้พี่พลอยเข้าไปก่อน
“ครืด ครืดๆๆๆ”เสียงชักโครกห้องข้างๆพี่พลอยดังขึ้นต่อเนื่อง 4-5ครั้ง ก่อนจะเป็นเสียงดึงกระดาษทิชชูเช็ดมือขึ้นมาเช็ด
“เฮ้อ” เสียงคนในห้องน้ำถอนหายใจยาวๆเหมือนคนกำลังเหนื่อย ฉันก็ได้แต่นิ่งฟังในใจก็คิดว่าปวดฉี่จะตายอยู่แล้วออกมาสักทีเถอะ
“แกรก แอ๊ด” ในที่สุดเสียงที่ฉันรอคอยก็มาถึง ห้องข้างๆพี่พลอยไขกลอนและเปิดประตูออกมา
“อ้าวป้าบัวเองเหรอคะ ฝนนึกว่าป้าไปถึงออฟฟิคแล้วสะอีก”
“ป้าท้องเสีย” ป้าบัวตอบสั้นๆแล้วเดินจากไป
ฉันเลยรีบเข้าห้องน้ำที่กำลังว่างอยู่ก่อนที่จะมีคนมาแทรกซะก่อน ฮืมกลิ่นเหม็นสาบแบบนี้อีกแล้ว มันคงติดเสื้อผ้าป้าบัวมาสินะ ฉันที่กำลังปวดท้องหนักมองข้ามกลิ่นสาบในห้องนั้นไป แล้วตั้งใจทำธุระส่วนตัวก่อน
“ ปึง ปึง ปึง”จู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ใครเนี่ยฉันเข้าอยู่นะ ไม่มีมารยาทซะเลย
“ใครค่ะ มีอะไรรึเปล่า”
“ฝน ฝนเองเหรอ ออกมาเร็วๆ”   ้
“พี่พลอยเหรอคะ ใจเย็นนะๆก่อนฝนทำธุระก่อนแปบเดียว”
ฉันรีบกดชักโครก จัดการตัวเองให้เรียบร้อย ปลดกลอนแล้วเปิดประตู ทันทีทึ่ฉันเปิดประตูพี่พลอยรีบดึงมือฉันออกมา พร้อมกับชะโงกหน้าไปสำรวจดูในห้องน้ำ
“มีอะไรคะ”ฉันถาม
“เมื่อกี้ พี่นั่งอยู่ในห้องน้ำเห็นมีคนเดินเข้สมาในห้องน้ำแต่ไม่ใส่รองเท้า ถุงเท้า พี่ก็เลยมองเพราะเห็นว่าแปลก พอพี่จ้องที่เท้าเค้าอ่ะ เท้าเค้าก็ค่อยๆเละเนื้อเริ่มแหว่ง เห็นแต่กระดูก พี่ตกใจมากอ่ะ แล้วก็มีเสียงล่วงตุ๊บลงมา คือพี่เห็นเป็นหัวคนกลิ้งอยู่ที่พื้น คือหน้าเค้ามีเนื้อนิดเดียวเอง เหมือนถูกตัวอะไรแทะออกไป” พี่พลอยเล่าเหตุการณ์สุดสยองที่ตัวเองเจอให้เราฟัง ฉันฟังแล้วได้แต่อึ้ง
“ตอนที่พี่เข้าไปก็มีกลิ่นแปลกๆด้วย ห้องข้างๆก็กดชักโครกแบบ ครืดๆ แล้วเหมือนมีอะไรค้างที่ชักโครก”
“หัวคนผู้หญิงใช่มั้ยคะ ตรงช่วงแก้มไม่มีเนื้อ ไม่มีลิ้น มีแต่กระดูกกับฟัน ใช่มั้ยค่ะ”
“ใช่ๆผู้หญิง ส่วนเรื่องลิ้นพี่มองไม่ทัน พี่กลัวว่าห้องข้างๆอาจจะช็อคตายก่อนเลยรีบมาเคาะประตูดู”พี่พลอยตอบฉัน
“ว่าแต่ทำไมฝนรู้ลักษณะเค้าล่ะ”
“เมื่อคืนฝนฝันเห็นผีค่ะ ลักษณะเหมือนคนถูกฆ่าหั่นศพ ไม่แน่ใจว่าเป็นคนเดียวกันรึเปล่า”
“เฮ้ยจริงดิ ถ้างั้นนี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้วนะ เค้าคงอยากให้เราช่วย”
“พี่พลอยว่ามันเกี่ยวกัยกลิ่นเหม็นๆในล็อคเกอร์นั่นป่ะ”
“อืมพี่ก็ไม่แน่ใจหรอกแต่กลิ่นมันคล้ายกันมากๆ อาจตะมีส่วนเชื่อมโยงกัน”พี่พลอยตอบ ขณะที่ฉันมั่นใจแล้วว่าเรื่องทั้งหมดไม่ใช่เเค่เรื่องบังเอิญ
“เมื่อกี้คนที่เค้าห้องน้ำก่อนฝนคือ ป้าบัว” ฉันเอ่ยขึ้น

Tadeestory/ล็อคเกอร์มือสอง ตอน 4

 

          “ติ๊ด ๆๆๆๆ” “เฮือก”เฮ้อฉันแค่ฝันไปเหรอเนี่ย เสียงนาฬิกาปลุก ปลุกฉันจากฝันร้าย ฉันเอื้อมมือไปหยิบมือถือขึ้นมา แล้วปิดเสียงมันซะ ค่อยยังชั่ววันนี้ไม่สาย ฉันลุกขึ้นเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวกะจะเดินลงไปอาบน้ำข้างล่าง แต่เอ๊ะคงไม่ดีมั้งถ้าเกิดเจอเหมือนในความฝันล่ะ ฉันว่าฉันอาบน้ำที่ห้องแม่เหมือนเมื่อวานน่าจะปลอดภัยกว่า การอาบน้ำก็ผ่านไปได้ด้วยดีไม่มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น ฉันกลับเข้าห้องแต่งตัวเตรียมไปทำงาน
          “อ้าววันนี้ไม่ต้องใส่ชุดนักศึกษาเหรอลูก”แม่ถามด้วยความประหลาดใจที่เห็นฉันลงมาทานข้าวในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์
“ไม่ใส่แล้วค่ะ เมื่อวานใส่ไปโดนแซวใหญ่เลย”
"อ้าวแค่ใส่ชุดนักศึกษาก็โดนล้อเหรอ”
“ใช่ค่ะแม่เพราะทั้งโรงงานมีหนูใส่อยู่คนเดียว”
“555 งั้นก็สมควรแล้วล่ะเนอะ”
 “กินข้าวเลยมั้ยล่ะ แม่เตรียมให้แล้วอยู่ที่โต๊ะนะ”แม่พูดต่อ
“วันนี้มีอะไรบ้างน้า” ฉันถามพร้อมเดินลงไปนั่งที่โต๊ะ แล้วกเ็ปิดฝาชีที่แม่ครอบไว้
“ว้าย” ฉันอุทานด้วยความตกใจ โยนฝาชีทิ้ง.พร้อมผงะออกจากเก้าอี้ เพราะภาพที่เห็นในจานคือชิ้นเนื้อสดๆ ส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง แถมยังมีหนอนไต่ยั้วเยี้ย ทำให้คนที่เกลียดหนอนที่สุดอย่างฉันสติแตก
 “เป็นอะไรฝน ร้องทำไม”แม่ถาม ฉันจึงพยายามตั้งสติแล้วรีบวิ่งไปกอดแม่
 “แม่ฝนกลัวอ่ะ”ฉันพูดทั้งน้ำตา ฉันเริ่มมั่นใจว่าความฝันเมื่อคืนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มีใครบางคนพยายามทำให้ฉันต้องการทำให้ฉันกลัว ตั้งแต่เกิดฉันไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย มันเป็นเพราะอะไรกัน “ฝนตั้งสติก่อนลูก กลัวอะไรไหนเล่าให้แม่ฟัง”
“แม่ไปดูในจานสิ”ฉันตอบแม่พร้อมชี้ไปที่โต๊ะอาหาร แม่ค่อยๆแกะมือฉันออก แล้วเดินไปที่โต๊ะอาหาร
“ไม่เห็นมีอะไรเลยนิฝน ก็แค่ข้าวผัดกับหมูทอด มา มาดูจะได้ไม่กลัว”แม่พูดพร้อมยื่นมือมาให้ฉันจับ ฉันขว้ามือแม่ไว้แล้วค่อยๆเดินไปที่โต๊ะ จริงด้วยแค่หมูทอดกับข้าวผัดอย่างที่แม่บอก
 “แม่ ฝนไม่ได้โกหกนะ เมื่อกี้ฝนเห็นหมูทอดเป็นเนื้อสดๆ แถมยังมีหนอนเต็มไปหมดเลยอ่ะ” ฉันอธิบายให้แม่ฟัง
 “เมื่อคืนนอนดึกพักผ่อนไม่เพียงพอรึเปล่า อาจจะตาฝาดก็ได้” แม่พยายามบ่ายเบี่ยงประเด็น
“ไม่ใช่แน่ๆแม่ ถึงจะตาลายจมูกก็ไม่น่าจะเพี้ยน เมื่อกี้ตอนเปิดฝาชีกลิ่นเหม็นเน่าแรงมากๆเลย ฝนขอกินแต่ข้าวผัดแล้วกัน”ฉันเอื้อมมือไปหยิบจานข้าวผัด มือนึงยังเกาะหลังแม่เอาไว้ พอได้จานข้าวผัดแล้ว ฉันเดินไปกอนตรงซิงค์ที่แม่กำลังล้างจานอยู่ โดยแม่ก็เดินตามกลับมาแบบติดๆ
“เมื่อคืนฝนฝันแปลกๆด้วยค่ะแม่”
“นี่กินข้าวให้เรียบร้อยก่อนค่อยเล่า เล่าความฝันตอนกินข้าวโบราณเค้าถือ”
“จริงเหรอคะ ฝนไม่เห็นรู้เลย”
“จริงสิ แม่ก็บอกอยู่นี่ไง” ฉันพยักหน้าหงึกๆ แล้วกินข้าวในจานต่อให้หมดไวๆจะได้เล่าความฝันให้แม่ฟัง “หมดยัง” แม่ถามหลังจากเหลือบตามามองแล้วไม่เห็นข้าวในจาน ฉันพยักหน้าหงึกๆเป็นการตอบรับพร้อมกับวางจานลงที่ซิงค์ แล้วเดินไปหยิบน้ำในตู้เย็นดื่ม
“เมื่อตอนเกือบๆเช้า ฝนฝันว่าเห็นผีในห้องน้ำสภาพเค้าน่ากลัวมาก เหมือนคนโดนฆ่าหั่นศพอ่ะแม่ ในฝันมันเหมือนจริงมากๆเลยนะ ฝนพยายามถามเค้าแล้วว่าอยากให้ช่วยอะไรมั้ย แต่ดันตื่นซะก่อน”
“ผีเหรอ ผู้หญิงหรือผู่ชายอ่ะลูก”
“ผู้หญิงนะแม่ เค้ามีหน้าอก เค้าไม่ได้ใส่ซื้อผ้าด้วย” “เอ๋ แปลกแหะ บ้านเราไม่เคยเจออะไรแบบนี้ ขนาดพ่อหนูตายตั้งหลายปี ยังไม่เคยเห็นเลย คงบังเอิญเฉยๆล่ะมั้ง”
“ครั้งนี้บังเอิญก็ได้ ครั้งหน้าถ้ามีอีก ีแม่ต้องเชื่อฝนนะว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” แม่พยักหน้าหงึกหงักพร้อมทำสีหน้าหนักใจ
“ฝนไปก่อนนะแม่ ไม่อยากสาย”ฉันเหลือบไปมองนาฬิกาบอกเวลา 06:42
 “อ้าว ไปแต่เช้าเลยเหรอ แล้วจะไปยังไง แม่ยังไม่ได้เรียกวินเลย”
“เดี๋ยวฝนขับมอไซค์ไปเองดีกว่าค่ะ พี่วินซิ่งเกิ๊น ฝนกลัว”
 “อ้าวเหรอ งั้นขับดีๆนะลูกรถมันเยอะ”
 “ค่ะ เจอกันตอนเย็นค่ะ”
         พูดจบฉันก็เดินไปหยิบเสื้อคลุม หมวกกันน็อค รองเท้ามาจัดการสวมให้เรียบร้อย ก่อนจะควบมอไซค์คันเก่งไปที่ทำงาน วันนี้ออกเช้ากว่าเมื่อวาน รถบนถนนยังไม่เยอะมาก ใช้เวลาแปบเดียวก็มาถึงโรงงาน ฉันจอดรถไว้ที่โรงจอดรถของมอเตอร์ไซค์ วันนี้เดินใกล้กว่าเมื่อวานอีกนะเนี่ย
 “ขอดูบัตรด้วยครับ”ยามคนเดิมยังทำหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่อง ฉันรีบยื่นบัตรพนักงานให้ยามคนนั้นดู วันนี้ฉันไม่พลาดแล้ว ผ่านด่านมาได้ฉันก็ต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ่าที่ล็อคเกอร์ วันนี้ล็อคเกอร์เงียบจัง
 “ตึก ตึก” เงียบจนได้หยิบเสียงเท้าของตัวเอง “แกร๊บๆ ปึ้ง”เสียงเหมือนคนขยำถุงพลาสติก แล้วปิดประตูอย่างแรง เอ๊ะมีคนอยู่ด้วยเหรอเนี่ย ฉันนึกสงสัยในใจ ไม่คิดว่าจะมีคนมาแต่เช้าเหมือนกัน ฉันเดินผ่านล็อคเกอร์แถวแล้วแถวเล่า ก็ไม่เห็นจะมีใครสักคน จนถึงแถวสุดท้ายซึ่งเป็นแถวของล็อคเกอร์ฉันเอง เอาว่ะหายใจเข้าลึกๆถ้าแถวนีไม่มีคนอื่นนอกจากเราแสดงว่าเสียงเมื่อกี้มัน…
 “อ้าว ป้าบัวเองเหรอค่ะ” เฮ้อโล่งอกที่ไหนได้ป้าบัวนี่เอง
“อ้าวหนูฝนมาแต่เช้าเลยนะ”ป้าบัวทักฉันตอบ ฉันจึงเดินตรงไปที่ล็อคเกอร์ของฉัน
“สวัสดีค่ะ ป้าบัวล็อตเกอร์เราติดกันเลยนะคะ” ฉันมัวแต่โล่งใจที่ต้นเหตุของเสียงคือป้าบัว ทำให้ลืมสวัสดีแกเสียสนิท
“นี่ล็อคเกอร์น้ำฝนเหรอ”อยู่ป้าบัวก็ทำหน้าเคร่งเครียด
“ใช่ค่ะล็อคเกอร์ฝนเอง มีอะไรรึเปล่าคะทำไมทำหน้าแบบนั้น” ฉันถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นป้าบัวทำสีหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“เปล่าจ้ะ ป้าแค่สงสัยว่าเจ้าของเก่าเค้ายังไม่ทันได้ลาออกเลย ทำไมหนูถึงได้ใช้ล็อคเกอร์เค้า”ฉันพยักหน้ารับแบบงงๆ
“เค้ายังไม่ลาออกเหรอคะ แต่หนูก็ไม่เคยเห็นเค้าเลยนะคะ ตั้งแต่หนูมา”
“จ้ะ ยังไม่ลาออกแต่จู่ๆก็หายไปเฉยๆทาง HR เค้าคงให้ออกแล้วแหละ หนูไม่ต้องคิดมากหรอก ป้าไปก่อนนะ ป้าจะไปเข้าห้องน้ำ” ป้าบัวเดินจากไปเหลือฉันอยู่คนเดียวในล็อคเกอร์ ฉันไขกุญแจเปิดล็อคเกอร์ออกมา กลิ่นยังเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเหม็นสาบ นี่มันไม่ปกติแล้วใครเอาอะไรมาไว้ล็อคเกอร์รึเปล่า ฉันค่อยๆใช้จมูกดมที่ล็อคเกอร์ทีละตู้ เริ่มจากตู้ฝั่งขวาก่อนละกัน “กึก กึก” เสียงเหมือนมีตัวอะไรสักอย่างดิ้นอยู่ในล็อคเกอร์ มันดังอยู่ใกล้มากๆ ฉันรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เร็วที่สุด “กึก กึก”ในขณะที่เสียงนั้นก็ยังดังต่อเนื่อง
“เอ้ามานานยังฝน”พี่พลอยยังเอิญมาทันฉันพอดี
“พี่พลอย มานี่เร็ว”ฉันพูดพร้อมกวักมือ ซึ่งพี่พลอยก็รีบเดินมาอย่างรวดเร็ว 
“ฟังนะ” ฉันบอกพรางมองหน้าพี่พลอย พร้อมเอานิ้วชี้มาแตะที่ปาก “กึก กึก กึก กึก” ความนี้ดังแรงและนานกว่าครั้งแรก
“เสียงอะไร” พี่พลอยถาม
 “ไม่รู้ค่ะ พี่พลอยว่าจากตู้ไหน”พี่พลอยไม่ตอบแต่เอาหูแนบไปที่ตัวของป้าบัว ก่อนรีบผงะออก ทำจมูกฟุดฟิต
“โหย เหม็นอ่ะเก็บอะไรไว้เนี่ย”พี่พลอยพูดขึ้น “เหม็นแบบนี้ไหม พี่ลองดมล็อคฝน”พี่พลอยค่อยๆยื่นจมูกมาดมที่ล็อคของฉัน
 “อืมๆคล้ายๆกัน แต่ของฝนกลิ่นเบากว่าอ่ะ”
 “จริงเหรอคะ”ฉันเปลี่ยนไปดมที่ล็อคของป้าบัว
 “ฮืมเหม็นจริง”ฉันเห็นด้วยกับพี่พลอยเลยล็อคป้าบัวเหม็นมาก เหม็นจนแทบอ้วก ล็อคเราเหม็นเหมือนฟอร์มาลีน แต่ล็อคป้านี่เหม็นเน่าเลย ฉันกับพี่พลอยมองหน้ากันแบบต่างคนต่างสงสัย “กึก กึก”เสียงนั้นยังดังต่อ
 “รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ จะได้รีบไป” พี่พลอยชวนฉัน ซึ่งฉันเห็นด้วยเรารีบแต่งตัวแล้วออกจากล็อคเกอร์มาด้วยความสงสัยที่ค้างอยู่ในใจมากมาย

Tadeestory/ล็อคเกอร์มือสอง ตอน3

        


         เมื่อพบแต่ความว่างเปล่าฉันรีบกลับหลังหัน เดินตามพี่พลอยไปติดๆทิ้งให้พี่เอ็มยืนงงอยู่ตรงนั้น
“น้ำฝน เป็นไรอ่ะจู่ๆก็หยุดเดิน มีอะไรรึเปล่า”พี่พลอยถาม
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร จู่ๆก็จุกท้องขึ้นมาน่ะค่ะ"
ฉันโกหกไปเพราะไม่อยากให้พี่พลอยกลัว จากสถานการณ์เมื่อวานพี่พลอยแกคงเป็นคนขี้กลัวมาก
“เอ้า ไม่ได้กินข้าวเช้ามาเหรอ พี่มีขนมนะเอาเปล่า” พี่พลอยพูดพร้อมหยิบขนมปังห่อเล็กๆที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมาโชว์
“อะแฮ่ม มาวันแรกก็แอบกินขนมกันแล้วจะรอดกันมั้ยเนี่ย”
พี่เอ็มที่เพิ่งเดินมาสบทบพูดขึ้น
“เปล่าแอบค่ะ เก็บไว้กินตอนเบรก” ฉันแก้ตัวไป
พี่เอ็มพยักหน้าเล็กๆเหมือนรู้ทันว่าที่ฉันพูดเป็นเพียงคำแก้ตัว ก่อนเดินนำหน้าฉันไป ชิจะเก็กไปไหนเนี่ยพ่อคุณ ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงแผนก โรงงานนี้ก็ใหญ่โตเหมือนกันนะเนี่ย Office เราอยู่ชั้น 2 ชั้นเดียวกับห้องประชุม แต่ถ้าให้เดินมาเองอาจมีหลงทาง
“อ้าว มากันแล้วเหรอ นึกว่าจะไม่ทันซะแล้ว มาๆมาแนะนำตัวเลยทั้งคู่” ชายคนนึงรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของฉันพูดขึ้น จริงๆฉันเจอเค้าตั้งแต่ตอนมาสัมภาษณ์แล้ว แต่จำชื่อเค้าไม่ได้ รู้แต่เป็นผู้จัดการแผนก  ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอก เพราะขณะที่พี่เค้าพูด แกอยู่กลางวงประชุมที่มีสมาชิกถึง 20 กว่าคน ทุกคนหันมามองที่ฉันและพี่พลอย

เจอแบบนี้ฉันก็ประหม่าเหมือนกัน มีแต่คนที่ไม่รู้จัก ต่างจากบรรยากาศ พรีเซ็นต์งานหน้าชั้นเรียนเยอะเลย
“เอาน้องพลอยก่อนก็ได้ เป็นพี่ใช่มั้ย” ผู้จัดการพูดต่อ
“ใช่ค่ะ สวัสดีทุกคนนะคะ ชื่อพลอยค่ะ อายุ 25 ปี เคยทำงานที่ XYC มา 3 ปี ทำงานตำแหน่ง QE staff ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
โหพี่พลอย พูดซะคล่องเชียวตะกี้ยังบอกตื่นเต้นอยู่เลย
“เอ้าต่อเลยจ่ะ” ผู้จัดการชี้มือมาที่ฉัน
ฉันค่อยผ่อนลมหายใจเป็นเทคนิคการระงับความตื่นเต้น เอาว่ะแค่แนะนำตัวเองสบายอยู่แล้ว
“สวัสดีค่ะพี่ทุกคน หนูชื่อน้ำฝนค่ะเรียกว่าฝนก็ได้ เป็นเด็กฝึกงานจากมหาวิทยาลัยสยามพัฒนาค่ะ ระยะเวลาฝึก 4 เดือนค่ะ ฝากด้วยนะคะ สอนได้ดุได้เต็มที่ค่ะ” จบจากเสียงแนะนำตัวของฉัน คนอื่นๆก็ขำคิกๆ อ้าวนี่ฉันทำอะไรผิดไปเหรอ จากนั้นผู้จัดการก็สั่งให้คนอื่นๆแนะนำตัว ซึ่งคนที่สอนงานฉันเป็นหลักคือพี่ “ปูเป้” สาวแว่นจ่ำหม่ำ นอกจากนั้นคนที่ต้องคุยงานด้วยบ่อยๆก็น่าจะเป็น”ป้าบัว”แกเป็นคนที่คอยรับส่งเอกสารระหว่างแผนก Copy เอกสาร และงานธุรการต่างๆ พอทุกคนแนะนำตัวเสร็จเรียบร้อยก็แยกย้ายกันไปทำงาน พี่ปูเป้ก็เดินมาหาฉัน
“ไปน้องฝนพี่เตรียมโต๊ะไว้ให้แล้ว เออนี่ปกติเราปาร์ตี้เก่งมั้ย”
“ไม่เลยอ่ะค่ะ”
“เฮ้ยพูดจริง เรียนปี4แล้วนะ ร้านอสูรหน้ามอเราอ่ะเด็ดนะ ผู้อ่ะงานดีทุกคน เคยไปป่ะ”
“ไม่เคยเลยค่ะ ฝนอยู่กับแม่แค่ 2 คน เลยไม่ค่อยอยากไปไหน กลัวแม่เป็นจะเป็นห่วง”
“ตายล่ะ วันนี้กะจะพาไปต้อนรับน้องใหม่ยันหว่างซะหน่อย งี้ก็ไปไม่ได้ดิ”
“คงไม่ได้อ่ะค่ะ กระทันหันด้วย”ฉันตอบเลี่ยงๆ
“เอาไงดีล่ะ ยังไงก็ต้องเลี้ยง ถ้าฝนไปที่อื่นไม่ได้
งั้นไปบ้านฝนเลยดีมั้ย”พี่ปูเป้พรึมพรัมกับฉัน
“ทุกคนๆงานเลี้ยงวันนี้เปลี่ยนเป็นบ้านน้องฝนดีป่ะ” เอ้าจู่ๆพี่ปูเป้ก็เปิดโหวต ไม่ถามฉันสักคำ แต่ที่บ้านเราก็ดีแล้วนี่
ไม่ต้องกลัวแม่เป็นห่วงด้วย
“ไปๆป้าไปคนนึงแหละถ้าไม่ไปร้านปีศาจอะไรน่ะ”
ป้าบัวตอบรับ คนอื่นๆกเห็นด้วยเช่นกัน
“พลอยโอเคมั้ย”พี่ปูเป้ถาม
“โอเคค่ะ”พี่พลอยตอบน้ำเสียงหนักแน่น
“อ้าวแล้วใครจะทำกับข้าว” พี่เอ็มถามขึ้น
“แม่ฝนรับจ๊อบเป็นแม่ครัวทำโต๊ะจีนค่ะ เรื่องกับข้าวไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฝนโทรบอกให้แม่เตรียมเลยก็ได้ค่ะ”
“เห้ย ไม่ต้องๆน้องฝนเรามีงบเดี๋ยวค่อยไปซื้อของเย็นก็ได้”พี่ปูเป้รีบห้ามฉันไว ้ สรุปว่าวันนี้บ้านฉันต้องเตรียมตัวรับแขกกระทันหัน หลังจากนั้นพี่ปูเป้ก็พาเราเดินรอบๆโรงงาน ไปดูการทำงานของแผนกต่าง แล้วกลับมาเทรนด์เรื่องเอกสารอีกนิดหน่อย ก็หมดเวลาไป 1 วัน ฉันเดินลงมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ล็อคเกอร์สังเกตุดูไม่มีใครใช้ล็อคเกอร์แถวเดียวกับฉันเลย เรียบร้อยฉันก็กลับบ้านไปก่อนพร้อมกับพี่พลอย โดยอาศัยรถของพี่เอ็ม  ส่วนพี่ปู้เป้กับผู้จัดการรับอาสาทำหน้าทีซื้อของสำหรับเมนูในค่ำคืนนี้ พอถึงบ้านฉันรีบส่งโลเคชั่นให้พี่ปูเป้ รออยู่ครู่ใหญ่พี่ปูเป้ก็มาถึง
“เป็นไงคะหลงมั้ย”ฉันถามพี่ปูเป้ทันทีที่มาถึง
“ไม่หลงนะ มาง่ายนิ” พี่ปู้เป้ตอบพร้อมยื่นถุงผักกับอาหารทะเลมาให้ฉัน จากนั้นทุกคนก็ทำหน้าที่เป็นลูกมือ ส่วนแม่ฉันก็เป็นแม่ครัว
“ป้าขับตรงมานะไม่ต้องเลี้ยว พอถึงป้ายทางเข้าวัดใหญ่ ค่อยเลี้ยวตามทางมาเรื่อยเดี๋ยวผมไปดักหน้าบ้าน” พี่เอ็มรับสายจากใครสักคน
“ป้าบัวเหรอ บอกให้มาด้วยกันก็ไม่มาหลงล่ะสิเนี่ย”พี่ปูเป้ถาม
“ใช่ แต่ยังไม่หลงโทรมาก่อนกลัวหลง” จริงด้วยป้าบัวบอกว่าจะมานี่หน่า ลืมนึกถึงแกไปเลย ฉันคิดในใจ สักพักรถของป้าบัวก็มาถึง พร้อมๆกับกับข้าวที่เสร็จพอดี เราต้องปูเสื่อนั่งกินกันที่สวนหน้าบ้านเพราะปกติฉันอยู่กับแม่แค่สองคนโต๊ะทานข้าวจึงใหญ่ไม่พอ พร้อมไปกับติดเตาย่างหมึกกับกุ้งไปด้วย คนอื่นๆดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์กันหมด ยกเว้นฉันกับป้าบัว ที่ทำได้แค่นั่งขำพฤติกรรมหลุดโลกที่มาจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ของแต่ละคน
“ไม่ไหวๆ ป้าไปห้องน้ำก่อนนะขำจนฉี่จะเล็ด” ป้าบัวที่ทนไม่ไหวขอตัวไปห้องน้ำพร้อมหยิบกระเป๋าใบยักษ์ของแกไปด้วย ปาร์ตี้ดำเนินไปเรื่อยจนถึงเวลาเที่ยงคืนกว่าทุกคนก็ขอตัวแยกย้าย พี่พลอยและพี่เอ็มอยู่ช่วยฉันเก็บจานเข้าบ้าน ก่อนจะขอตัวกลับ เพราะพี่เอ็มต้องไปส่งพี่พลอยที่หอก่อน
“ยังไม่ต้องล้างหรอกลูก ไปนอนเถอะเดี๋ยวพรุ่งนี้สาย”แม่เดินลงมาจากชั้นสอง เพื่อบอกให้ฉันรีบขึ้นนอน
“ฝนไม่ล้างอยู่แล้วค่ะ 555 กู๊ดไนท์ค่ะ”
หลังจากอาบน้ำอาบท่าฉันก็กะจะนอนหลับให้สบายเสียหน่อย แต่ในใจดันไปคิดถึงแต่สายตาของพี่เอ็มตลอด ทำไมเค้าถึงมองฉันแบบนั้นนะ แล้วทำไมฉันต้องรู้สึกวูบวาบด้วยนี่แค่สายตาเองนะ
“ติ๊ดๆๆๆๆ” เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นเวลาเดียวกันกับเมื่อวาน นี่ฉันเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน ฉันงัวเงียขึ้นมาปิดนาฬิกาปลุก หยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินไปชั้นล่างเพื่ออาบน้ำ พอถึงหน้าห้องน้ำ ฉันเอื้อมไปเปิดไฟห้องน้ำ
“พรึ่บ พรึ่บ”ไฟกระพริบสองสามที ตามปกติ แอ๊ะพื้นห้องน้ำทำไมเหมือนมีรอยเลือด สงสัยตาลายมั้งเรา ฉันจึงก้าวเข้าไปในห้องน้ำตามปกติ แขวนผ้าเช็ดตัวไว้ที่ราวติดฝาพนัง
“พรึ่บ” ไฟกระพริบครั้งสุดท้ายแล้วก็ติด จากนั้นก็หันหลังไปหยิบแปรงสีฟัน
“กรี๊ด…..” ฉันส่งเสียงร้องสุดเสียงพร้อมทรูุดลงไปนั่งที่พื้น เพราะภาพที่เห็นคือหญิงสาวคนนึงนั่งชันขาขึ้น อยู่บนชักโครก เนื้อตัวเธอเต็มไปด้วยบาดแผล เนื้อตรงเอวถูกเลาะเนื้อหายไปจนเหลือแต่กระดูกซี่โครง เนื้อที่แก้ม ริมฝีปากและลิ้นก็ถูกเลาะออกไปเหลือให้เห็นเพียงกระดูกกรามและฟัน
ลักษณะเหมือนเธอกำลังร้องไห้และคงอยากจะบอกอะไรฉันสักอย่าง เพราะกระดูกกรามของเธอขยับไปมา
“ฉันค่อยๆตั้งสติถามเธอไปว่าอยากให้ช่วยเหรอ อยากให้ช่วยเรื่องอะไร”

Tadeestory/ล็อคเกอร์มือสอง ตอน2

 

“น้ำฝนทำไมมาสายจังล่ะ” พี่พลอยเอ่ยถามขึ้นทันทีที่ฉันไปถึงห้องประชุม คนอื่นๆมาพร้อมกันหมดแล้ว ฉันเป็นคนสุดท้ายที่มาถึงก็ไม่แปลกที่พี่พลอยจะถามแบบนั้น
  “มานานล่ะค่ะแต่ลืมบัตร ยามเลยไม่ให้เข้าโรงงานต้องรอพี่ นก HR มาเซ็นต์ชื่อให้ ถึงได้เข้ามาเนี่ยแหละค่ะ”
ฉันอธิบาย
“แย่เลยดิ แล้วสแกนนิ้วยัง”
สแกนนิ้ว เวรแล้วฉันลืมสแกนแล้ว โอ้ยทำไมขี้ลืมขนาดนี้
“เฮ้ย อย่าบอกนะว่าลืมไปเร็วเดี๋ยวไม่ทัน” พี่พลอยคงเห็นว่าฉันทำหน้าไม่สู้ดีนัก เลยพอจะเดาสถานการณ์ได้ถูก รีบผลักหลังฉันให้เดินออกประตูไป
“มาพร้อมกันทุกคนแล้วใช่มั้ย” พี่นก ที่เพิ่งเดินสวนเข้ามาพอดีถามขึ้น
“ครบแล้วค่ะ” คนอื่นๆในห้องตอบผสานเสียง
“อ้าวแล้วนี่จะไปไหนกัน” พี่นกถามฉัน
“เอ่อ ฝนยังไม่ได้สแกนนิ้วค่ะ เพิ่งนึกได้เลยจะไปสแกน"
“ไม่เป็นไรๆเดี๋ยววันนี้เขียนใบบันทึกเวลาการทำงานไปก่อน อีกแค่สองนาทีก็แปดโมงแล้ว ต่อให้วิ่งไปก็คงไม่ทันหรอก กลับไปนั่งที่ไป”
พี่ฝนพูดด้วยสีหน้าไม่ดีนักพร้อมกับก้มดูนาฬิกาข้อมือไปด้วย
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” ฉันตอบพร้อมกลับหลังหันเดินไปนั่งที่เก้าอี้ที่ว่างอยู่
“กริ่งๆๆๆๆ” ยังไม่ทันจะตูดถึงโต๊ะกริ่งเข้างานก็ดังขึ้น นี่ถ้าวิ่งไปสแกนนิ้วคงเหนื่อยเปล่า
“เดี๋ยววันนี้พวกเราจะต้องแยกย้ายกันเข้าแผนกแล้วนะ พี่แจ้งพี่เลี้ยงที่จะคอยเทรนด์งานในช่วงก่อนผ่านโปร ให้มารับน้องๆแต่ละคนเข้าแผนก ส่วนฝนเรามาหาพี่หน่อย” พี่นกกวักมือเรียกให้ฉันไปหาที่หน้าห้อง
“พี่เพิ่งได้รับเอกสารส่งตัวจากมหาวิทลัย เดี๋ยวกรอกเอกสารเพิ่มให้พี่ด้วย”
พี่นกพูดพร้อมยื่นเอกสาร 2-3 แผ่นมาให้ มันคือเอกสารเกี่ยวกับการรักษาความลับของบริษัท ขั้นตอนการขอทำโปรเจคในกระบวนการในกรณีที่เราต้องการ ฟอร์มการเขียนรายงานประจำวัน และสุดท้ายเอกสารยินยอมทำงานล่วงเวลาในกรณีที่จำเป็น ซึ่งก็เป็นเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่ตอนสัมภาษณ์แล้ว ฉันจึงยอมเซ็นต์แต่โดยดี เสร็จแล้วก็ยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อย
“เป็นไงบ้างตื่นเต้นกันมั้ย เหลือเวลาประมาณ 20 นาทีพี่ให้นั่งคุยกันไปก่อนแต่คุยเงียบๆนะ” หลังสิ้นเสียงพี่นกคนอื่นๆในห้องก็ส่งเสียงคุยกันจอแจ ส่วนฉันเอาหนังสือข้อตกลงที่เซ็นต์ไปเมื่อครู่มานั่งอ่านใหม่
“ยังติดต่อแกไม่ได้อีกเหรอคะ แกไม่มาทำงานอาทิตย์กว่าแล้วนะคะ…….. บริษัทให้ terminate ไปแล้วละค่ะ ยื้อไม่ไหวจริงๆ” เสียงพี่นกคุยโทรศัพท์อยู่ด้านหลังของฉัน
“ พี่ไปทำอะไรให้เค้างอนอีกรึเปล่า 555…..ค่ะๆ โอเคค่ะถ้าตามที่พี่เล่าแกก็คงงอนกลับบ้านไปแล้ว….ค่ะๆไว้คุยกันค่ะ” ถึงไม่ได้ตั้งใจฟังแต่ฉันก็ได้ยินชัดทุกถ้อยคำ ก็แหงล่ะ เล่นยืนค้ำหัวคุยสะขนาดนี้ ฉันเลยค่อยๆเบี่ยงตัวออกจากเก้าอี้นั้นไปนั่งข้างพี่พลอยแทน
“ตื่นเต้นอ่ะไม่รู้คนเทรนด์งานเราจะเป็นยังไงเนอะ แต่ฝนอยู่แป๊บเดียวเองอ่ะ เรียนจบแล้วมาทำงานด้วยกันนะ” พี่พลอยเปิดประโยคสนทนาขึ้น
“โห รีบชวนจังเลยพี่พลอย นี่เพิ่งวันแรกเองนะ พี่อ่ะอย่าหนีหนูไปก่อนล่ะ555” ฉันเลยแกล้งแซวพี่พลอยกลับ
“มารับเด็กครับ” พี่ผู้ชายในชุดพนักงานใส่หมวกสีครีมเดินเข้ามาพร้อมพูดขึ้น จากที่อบรมมาหมวกสีครีมเป็นคนของแผนกผลิต
“อ้าวน้องมิ้น น้องบีมไปกับพี่เค้าจ่ะ” สองคนที่ถูกเรียกชื่อเดินตามพี่คนนั้นออกจากห้องประชุมไป จากนั้นคนอื่นๆก็ทยอยออกไปคนแล้วคนเล่า จนเหลือเพียงฉันกับพี่พลอยที่อยู่แผนกเดียวกัน
“เค้าไม่มารับแล้วมั้ง”พี่นกแกล้งพูด ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครบางคน
“แผนก QE ใช่มั้ยคะ ส่งคนมารับน้องด้วยค่ะ” พูดจบพี่นกก็วางสายอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวเค้าก็มาใจเย็นนะ แผนกเราอ่ะช้าที่สุดตลอด”พี่นกบอกให้พวกเราสบายใจ ซึ่งก็เป็นไปตามที่พี่นกบอกเรารออีกแค่ครู่เดียวก็มีคนมารับเสียที
“มาแล้วพี่ โหสุดท้ายอีกแล้วเหรอเนี่ย” ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อคนแรกในแผนกที่เราต้องทำความรู้จัก คือคนที่เราชนเค้าเข้าเต็มแรงเมื่อเช้า ไม่รู้เรียกบังเอิญหรือะไรดี
“อ้าวเห้ย น้องฝึก QE หรอ” เค้าชี้หน้าเราพร้อมกับยิงคำถาม
“ค่ะ”เราตอบสั้นๆ
“ใช่ก็แผนกแกไง รีบพาน้องเข้าแผนกไปได้แล้วสายมากแล้วเนี่ย”
พี่นกดุให้พี่คนนั้น
“เอ้าตามมาๆ” เรากับพี่พลอยจึงเดินตามไป เราไม่ลืมที่จะยกมือไหว้พี่นกอีกครั้งเพื่อเป็นการขอบคุณและล่ำลากันในวันนี้ ระหว่างทางพี่พลอยก็ชวนพี่ชายคนนั้นคุยไปเรื่อยๆ ได้ความว่าพี่ชายมาดกวนคนนี้อายุ 26 เป็น Engineer ของแผนก อ๋อเค้าชื่อ “เอ็ม” งานหลักๆของเค้าก็คือ
“ไม่ผ่านค่ะ” อุ้ย ตกใจหมดเลยกำลังฟังเพลินๆ ใครมาสแกนนิ้วตอนนี้เนี่ย สงสัยจะเป็นกะดึกแน่ๆเลย
“ไม่ผ่านค่ะ” เสียงเครื่องสแกนนิ้วดังขึ้นอีกครั้ง ฉันจึงหันกลับไปมองดูสักหน่อย นิ้วลอกหรือยังไงเนี่ย ไม่ผ่านอยู่ได้ อ้าวเฮ้ยไม่เห็นมีใครเลยนี่หว่า เครื่องลวนเหรอเนี่ย
“ไม่ผ่านค่ะ”
“ไม่ผ่านค่ะ”
“ไม่ผ่านค่ะ”ๆๆๆ
รัวเลยทีนี้ คงไม่ใช่ผีหลอกกลางวัน หลอกนะฉันคิดในใจ
“เอ้าไม่ไปเหรอ มองอะไรอยู่ได้”
“เห้ย ฮืมตกใจหมด” ฉันตกใจสะดุ้งสุดตัวอีกครั้ง เพราะจู่ๆพี่เอ็มก็เล่นมาพูดดังๆข้างๆหู
“เครื่องสแกนนิ้วมันรวนเหรอคะ อยู่ดีๆก็ดัง”ไม่ผ่านค่ะๆๆ” ทั้งๆที่ไม่มีคนสแกน”
“ฮืมกวนป่ะเนี่ย ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย ไปไปได้แล้ว”
“ไม่ได้ยินจริงๆเหรอคะ”ฉันถามย้ำอีกรอบเพื่อความมั่นใจ ่
“อืม” พี่เอ็มตอบสั้นๆพร้อมพยักหน้าลงช้าๆเป็นการยืนยันคำตอบ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ฉันหันหลังกลับไปมองที่เครื่องสแกนอีกครั้ง ก็ยังพบแต่ความว่างเปล่าเหมือนเดิม

Tadee story/ล็อคเกอร์มือสอง ตอน 1



หลังจากที่อบรมเรื่องกฎระเบียบและรายละเอียดของบริษัทมาทั้งวัน พอถึงตอนเย็นพี่จากแผนก HR ก็มาแจกกุญแจล็อคเกอร์สำหรับไว้เก็บเสื้อผ้าที่ต้องเปลี่ยนจากชุดลำลองเป็นยูนิฟอร์มให้กับทุกคน ลูกกุญแจของคนอื่นๆมีที่ห้อยเป็นตุ๊กตาบ้าง ป้ายชื่อบ้างคละๆกันไป มีเพียงของฉันกับเพื่อนๆอีก2-3คนที่ลูกกุญแจคล้องด้วยด้ายแดงๆเท่านั้น
“โฮ!สงสัยของน้ำฝนต้องเป็นล็อคเกอร์ใหม่แน่เลย”
เพื่อนที่เข้ารุ่นเดียวกันคนนึงเอ่ยขึ้นพร้อมกับหมุนๆดูลูกกุญแจในมือเรา
“น่าจะใช่แหละ”ฉันเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองๆดูลูกกุญแจใหม่กริ๊กในมือ
เมื่อมาถึงห้องล็อกเกอร์ทุกคนต่างหาล๊อคเกอร์ที่ตรงกับหมายเลขลูกกุญแจที่ตนได้รับ แถวในสุดจนถึงแถวกลางๆจะเป็นล็อคเกอร์เก่า แถวนอกสุดจะมีล็อคเกอร์ใหม่วางอยู่แถวเดียว เรากับเพื่อนๆพี่ๆอีก 2-3 คน ที่ได้ลูกกุญแจใหม่เหมือนกันตรงไปที่ล็อคเกอร์แถวนอกสุดเพื่อหาล็อคเกอร์ขิงตัวเอง คนอื่นๆทยอยหาล็อคเกอร์ของตัวเองเจอ หรือเพียงเราที่ยังหาไม่เจอ
“น้ำฝนยังไม่เจอล็อคเกอร์หรอ” พี่HRถามขึ้น คงเพราะเห็นเราเดินวนไปวนมา หลายรอบ
“ใช่ค่ะ แถวนี้มีแต่รหัสที่ขึ้นต้นด้วย H กับ J แต่ล็อคเกอร์ใหม่ก็มีแค่แถวนี้นะคะ”
“ไหนๆ พี่ขอดูหน่อย” พี่HRขอดูรหัสที่ลูกกุญแจของเรา
“B24 อ๋อนี่ไม่ใช่ล็อคเกอร์ใหม่หรอก แถว B อยู่นี่ตามพี่มา” HR คนเดิมพูดพร้อมกับเดินนำไปด้านในสุดของห้อง โดยมีเราเดินตามไปติดๆ นู้นนะตู้รองสุดท้าย
“อ๋อค่ะ ขอบคุณค่ะ” ฉันรีบเดินไปที่ตู้ล็อคเกอร์ของตัวเอง พอไปถึงก็เสียบลูกกุญแจเพื่อไขแม่กุญแจ จากที่สังเกตดูก็เห็นว่าแม่กุญแจก็ใหม่กริ๊บเช่นกัน
แปลกจังล็อคเกอร์เก่าทำไมต้องเปลี่ยนกุญแจด้วย ฉันคิดในใจ แต่ช่างเถอะแค่นี้ก็ช้ากว่าคนอื่นๆมาก แล้ว  รีบๆเปิดแล้วเอารองเท้ากับชุดที่เพิ่งได้รับแจกมาเก็บไว้ดีกว่า
"พรึ่บ ฮืมกลิ่นไรเนี่ย แค่กๆ” ฉันเผลออุทานพร้อมทำจมูกฟุดฟิดทันทีหลังจากที่เปิดล็อคเกอร์ขึ้นมาแล้วได้กลิ่นสารเคมีซึ่งแรงมากๆ กลิ่นคล้ายๆฟอร์มาลีน 
“เป็นอะไรหรือเปล่าน้ำฝน” พี่พลอยคนที่ได้ล็อคเกอร์ในแถวเดียวกันแต่ห่างออกไปหลายตู้ เอ่ยถามด้วยความสงสัยในท่าทางของเรา
“กลิ่นอะไรไม่รู้อ่ะพี่เหม็นมากๆเลย” เราตอบพร้อมกับเอามือขึ้นปัดๆที่จมูก พี่พลอยจึงเดินตรงมาที่เรา คงหวังจะมาดู
“เสร็จกันรึยังคะ พี่จะพาไปสอนสแกนนิ้ว เดี๋ยวพนักงานเลิกแล้วคนจะเยอะ” พี่ HR ตะโกนถามพนักงานใหม่ทุกคน
“เสร็จแล้วค่ะ”ฉันรีบยัดเสื้อผ้าเข้าไปในตู้พร้อมกับรีบปิดประตู
“ไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวโดนดุ” ฉันรีบเดินออกจากตรงนั้นแล้วจูงแขนพี่พลอยออกมาด้วย หลังจากออกมาจากล็อคเกอร์ HR พาเราไปดูที่ตั้งของเครื่องสแกนนิ้วเพื่อบันทึกเวลาเข้าออกการทำงาน ระหว่างทางที่เดินไปพี่พลอยก็ถามขึ้นว่า
“น้ำฝนได้กลิ่นอะไรที่ล็อคเกอร์เหรอ”
“กลิ่นมันแปลกๆอ่ะค่ะ คล้ายๆกับฟอร์มาลีน”
“พี่ก็ได้กลิ่นคล้ายๆ ซากศพ พี่ว่าล็อคเกอร์มันดูมืดๆน่ากลัวๆเนอะ”
“เฮ้ย คงไม่ใช่มั้งคะ น่าจะเป็นสารเคมีที่เค้าใช้ผลิตงานแล้วเอามาเก็บไว้รึเปล่า” เราแย้งไปเพราะกลิ่นที่เราได้รับไม่ใกล้เคียงกับซากศพเลย แต่เป็นกลิ่นสารเคมีที่น่าจะมีความเข้มข้นสูงมากๆ มากกว่า
“ถ้าแค่นั้นก็ดีอยู่หรอก” พี่พลอยพูดทำหน้าแหย่
             หลังจากที่ทางฝ่าย HR  อธิบายวิธีการใช้เครื่องสแกนและเก็บรายนิ้วมือของพวกเราครบทุกคนแล้ว ก็ถึงเวลากลับบ้านได้ เราเอาชุดที่ได้รับแจกใส่กระเป๋ากลับบ้านไปหนึ่งชุด เมื่อกลับถึงบ้านเราก็จัดการซักและรีดชุดที่ได้รับมาเตรียมไว้ใส่ในวันพรุ่งนี้และทั้งอาทิตย์นี้  ก็จะเข้านอนอย่างรวดเร็วเพื่อตื่นไปทำงานแต่เช้าในวันพรุ่งนี้ 
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ดๆ”เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือที่เราตั้งไว้ดังลั่นห้อง
“ตีห้าห้าสิบ ดังกี่รอบแล้วเนี่ย” ฉันบ่นเบาๆกับตัวเอง ให้ตายเถอะอุตสาห์ตั้งเวลาไว้ ตีห้าครึ่งกลับตื่นสายไปเกือบ 20นาที ฉันรีบดีดตัวขึ้นจากที่นอนไปอาบน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน  สระผม ก็ใช้เวลาร่วมๆครึ่งชั่วโมง พอออกมาจากห้องน้ำก็จัดการแต่งเนื้อแต่งตัวฉันหยิบเอาชุดนักศึกษาขึ้นมาสวมแบบเต็มยศ รวบเอาชุดพนักงานที่ที่รีดไว้สะเรียบใส่ลงในกระเป๋าเป้  เสร็จแล้วก็เอาพัดลมมาเป่าที่ผม ทาครีม แป้งฝุ่น ลิปมันเท่านี้ก็เรียบร้อย  ฉันเดินลงมาจากห้องนอนด้วยสภาพผมเปียกหมาดๆพร้อมกับเป้ใบเก่ง
“เอ้า ไปแต่เช้าเลยหรอฝน” แม่เอ่ยทักเรา
“จ่ะ ฝึกงานแค่ 4 เดือนเอง ฝนอยากทำให้เต็มที่อ่ะแม่”
“ยังไงก็กินข้าวก่อน นี่แม่เตรียมให้แล้ว ไม่ต้องกลัวจะสายนะแม่เรียกรถมอไซด์ไว้ให้แล้ว เค้ามา 7 โมง”
ฉันเหลือบไปดูนาฬิกาเป็นเวลา หกโมงสี่สิบห้า ยังพอมีเวลา เลยนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว วันนี้มีผัดฟักทองใส่ไข่กับหมูทอดของโปรดฉันเอง กินกับข้าวร้อนๆอร่อยเหาะ
“นี่แม่ตื่นมาทำกับข้าวให้หนูตั้งแต่หนูเริ่มไปโรงเรียนจนถึงวันนี้    มีวันไหนสายบ้างมั้ย” ฉันถามด้วยความสงสัยเพราะตั้งแต่จำความได้ฉันก็เห็นแม่ตื่นมาทำกับข้าวเช้าให้ฉันได้ตลอด
“ก็มีสายนะ แต่ฝนคงไม่รู้หรอก เพราะฝนน่ะสายกว่าแม่ทุกวัน ฮ่าฮ่าฮ่า” แม่พูดไปขำไป ฉันเลยมองค้อนไปทีนึง แล้วกินข้าวต่อ แต่ก็จริงของแม่ยิ่งตอนเรียนมหาวิทยาลัยถ้าเรียนบ่ายฉันก็ตื่นเกือบเที่ยงแล้ว กินอิ่มก็เกือบเจ็ดโมงพี่วินที่แม่เรียกไว้ก็มาพอดี
“ปริ๊นๆๆ” เสียงพี่วินที่มารอบีบแตร์ส่งสัญญาณเรียก ฉันรีบลุกจากโต๊ะ สะพายกระเป๋า พร้อมกับสวัสดีแม่เหมือนทุกๆครั้งที่ออกจากบ้าน
“ไปบริษัท PMS ค่ะรู้จักใช่มั้ยคะ” ฉันบอกจุดหมายปลายทางให้พี่วินฟัง
“รู้จักๆ ขึ้นเลย” ฉันกระโดดตุ๊บขึ้นมานั่งซ้อนท้ายพี่วินพร้อมกับสวมหมวกกันน็อคที่พี่เค้าส่งให้ ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาทีฉันก็มาถึงบริษัท ด้วยค่าโดยสารเพียง 20 บาท  พี่วินจอดส่งฉันห่างจากประตูทางเข้าบริษัทประมาณ 500 เมตร เพราะหน้าบริษัทตรงกับยูเทรินพอดีดังนั้นจึงต้องจอดห่างออกมาหน่อย  ฉันเดินตามฟุตบาทข้างทางมา ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาประมาณ เจ็ดโมงยี่สิบ คนกำลังมาเข้างานเยอะมาก
“เอ๊ะ บัตรพนักงาน” ฉันไม่แน่ใจว่าได้เอาบัตรพนักงานใส่เป้มาด้วยรึเปล่าจึงหยุดกระทันหัน พร้อมกับบิดกระเป๋าจากหลังมาด้านหน้าเพื่อเปิดดู
“ผลั๊ก” มีใครบางคนชนฉันเข้าเต็มแรงฉันเซไปด้านหน้าจนเกือบล้ม ก่อนจะรีบกลับหลังหันมาดูว่าใครกันที่ชนฉัน
“อุ้ย” ฉันอุทานด้วยความตกใจ เพราะการที่ฉันหันกลับไปเกือบจะชนเขาเข้าอีกรอบ
“ขอโทษค่ะ” ฉันรีบเอ่ยคำขอโทษ แม่เคยสอนไว้ว่าคำทักทาย คำขอโทษ คำขอบคุณ เป็นถ้อยคำวิเศษ  เพราะไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนหากเราหยิบคำเหล่านี้ขึ้นมาพูดได้อย่างถูกต้อง คู่สนทนาของเราจะรู้สึกดีขึ้นจากเดิมไม่มากก็น้อย ฉันใช้มันและได้ผลมาโดยตลอด แต่คงไม่ใช่กับครั้งนี้


“ขอโทษจริงๆค่ะพอดีไม่ทันได้ดูว่ามีคนเดินตามมา” ฉันพยายามขอโทษซ้ำพร้อมยกมือไหว้ เมื่อเห็นว่าชายที่เป็นคู่กรณียังยืนหน้าตึงอยู่ตรงหน้า แถมชุดพนักงานของเขายังตกลงพื้น จนเปื้อนไปหมด
“อืม พี่รู้แล้วว่าไม่ได้ดู เพราะถ้าน้องดูคงไม่เป็นแบบนี้” เขาคนนั้นที่ดูท่าทางคงแก่กว่าฉันสัก 4-5 ปีตอบรับคำขอโทษแกมดุฉันไปด้วย
“ชุดพี่เปื้อนเลยนะคะ เอาของหนูไปใส่มั้ย”ฉันพูดพร้อมรีบหยิบชุดพนักงานออกจากกระเป๋า
“ฮึๆ ไม่ต้องอ่ะพี่มีหลายชุด แล้วทำไมใส่ชุดนักศึกษามาทำงานเนี่ย คิดไรอยู่”เค้าถามพร้อมทำหน้างงๆ
“อ๋อฝนเป็นนักศึกษาฝึกงานค่ะ วันนี้เพิ่งเริ่มงานวันแรกค่ะ ”
“ฝึกงาน เค้าก็ไม่ใส่กันหรอก” พี่ชายคนนั้นพูดเบาๆแต่ฉันบังเอิญได้ยิน
ใส่ชุดนักศึกษามาฝึกงานก็ถูกแล้วนิแปลกตรงไหนฉันคิดในใจ  พร้อมกับก้มลงปิดกระเป๋า เงยหน้ามาอีกทีเค้าก็เดินห่างออกไปเสียแล้ว ฉันเลยเดินตามไปห่างๆ
“ขอดูบัตรด้วยครับ” ยามที่ทำหน้าที่ตรวจบัตรพนักงานพูดกับฉัน
“อ๋อบัตร ค่ะๆ” ฉันรีบเปิดกระเป๋าค้นหาบัตรพนักงาน แต่ปรากฏว่าไม่มี ไม่มีจริงๆด้วย เฮ้อทำไมถึงขี้ลืมขนาดนี้
“พี่คะสงสัยหนูจะลืมอ่ะค่ะ” เราตอบพี่ยามพร้อมทำหน้าเจื่อนๆ
“แล้วรู้จักใครบ้างมั้ยในโรงงานเนี่ย” ยามถาม
“หนูเพิ่งเริ่มงานอ่ะค่ะ ก็รู้จักเพื่อนที่มาเริ่มงานพร้อมกัน กับพี่ HR ค่ะ”
“อ๋อ HR น่าจะเป็นคุณนกนะ งั้นนั่งรอตรงนั้นน่ะ คุณนกเค้ามาสายๆเดี๋ยวให้เค้าเซ็นต์ผ่านให้” ยามพูดพร้อมชี้มือให้ชั้นไปนั่งตรงมานั่งข้างๆป้อมยาม ฉันรอจนเกือบจะ 8 โมง คุณนกฝ่ายบุคคลเพิ่งจะมาเซ็นต์ผ่านให้ ฉันจึงได้เข้าบริษัทมา ฉันรีบตรงดิ่งไปที่ห้องล็อคเกอร์ เอาผ้าถุงขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า คนในล็อคเกอร์มีนิดหน่อยคงเป็นเพราะสายมากแล้ว เมื่อเปลี่ยนเป็นยูนิฟอร์มเรียบร้อย ฉันก็เปิดล็อคเกอร์ออกเพื่อนำชุดนักศึกษาที่ถอดออกไปเก็บแทน ทันทีที่เปิดออกกลิ่นมันก็ยังเหมือนเดิม แปลกมากตอนปิดล็อคเกอร์แถบไม่ได้กลิ่นพอเปิดเท่านั้นแหละกลิ่นตลบอบอวล ราวกับต้นกำเนิดกลิ่นอยู่ในล็อคเกอร์ของฉัน แต่ช่างเถอะอยู่ๆไปคงจะชิน ฉันเก็บเสื้อผ้าเรียบร้อย แต่ขณะที่กำลังจะปิดตู้ตาของฉันก็เหลือบไปเห็นสติ๊กเกอร์เก่าๆที่ติดอยู่ตรงประตู
เขียนด้วยหมึกแดงๆว่า “สวัสดีค่ะ” มันเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันอมยิ้มได้ คำทักทายมันมหัศจรรย์อย่างที่แม่บอกจริงๆด้วย
“สวัสดีค่ะ” ฉันตอบข้อความในสติ๊กเกอร์นั้นเบาๆ ก่อนจะปิดมันลง
แล้วรีบขึ้นไปที่ห้องประชุมชั้น 2 ตามที่ฝ่ายบุคคลนัดเอาไว้